นายกฯ เศรษฐา แถลงหลังประชุมศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉินกรณีภาวะสงครามในอิสราเอล โดยเฉพาะการช่วยเหลือแรงงานที่ยังตกค้างอีกจำนวนมาก
ในที่ประชุมสรุปสถานการณ์อิสราเอลยังไม่ดีขึ้น ไม่น่าไว้วางใจ
เพราะยังมีแรงงานไทยเสียชีวิตเพิ่ม และถูกจับเป็นตัวประกันอีก
ส่วนการลำเลียงคนไทยต้องพึ่งทางอากาศโดยเครื่องบินเท่านั้น เพราะเส้นทางบกและทางเรือ เพื่อออกไปประเทศรอบข้างถูกปิดตาย
ขณะที่ทางอากาศก็ยังไม่มีเครื่องบินเพียงพอ แม้สถานทูตไทยจะช่วยเหลือนำคนไทยมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงได้วันละประมาณ 400 คน แต่เที่ยวบินก็ยังเป็นปัญหา
ดังนั้น นอกจากเครื่องบินของกองทัพอากาศแล้ว นายกฯ จึงประสานความร่วมมือสายการบินเอกชน รวมทั้งการบินไทย จนระดมเพิ่มเป็น 32 เที่ยวบิน รองรับได้ 5,700 คน
ทั้งยังมีแผนเช่าเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เป็นเครื่องขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้กว่า 500 คนสนับสนุนอีกทางหนึ่ง ตั้งเป้าอพยพคนไทยได้หมดภายในสิ้นเดือนต.ค.นี้
แต่ก็ต้องลุ้นว่าจะครบกว่า 7,000 คนที่แจ้งความประสงค์ขอกลับไทยหรือไม่
ส่วนการลำเลียงคนด้วยเครื่องบินนั้น รัฐบาลจัดเตรียมแผนไว้ 2 ช่องทาง คือบินตรงจากอิสราเอลมาไทย กับไปพักที่ดูไบ จอร์แดน และไซปรัส ก่อนนำเครื่องบินไปรับอีกทอดหนึ่ง
การอพยพคนไทยออกจากพื้นที่ภาวะสงครามเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องทำโดยเร็ว
แต่อีกประการสำคัญ คือบรรดาแรงงานไทยที่กลับมาแล้ว รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงแรงงานจะต้องดูแลเยียวยา ในระยะยาวด้วย
เพราะหลายคนทำงานไม่ครบตามสัญญา รัฐบาลต้องประสานพูดคุย กับนายหน้า หรือนายจ้างอิสราเอล ถ้าเหตุการณ์สงบแล้วต้องการจะกลับไปทำงานอีกจะได้หรือไม่
หรือหากคนใดไม่ต้องการกลับไปอิสราเอลอีกแล้ว จะได้ทำงานใหม่ในประเทศอื่น และรายได้จะเท่าเดิมหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้สินผูกพันตามมาอีกด้วย เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อจะได้ไปทำงานต่างแดน
ตรงนี้รัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระ หรือประนอมหนี้ได้อย่างไร
ถ้าเป็นหนี้ที่มาจากเงินกู้ในระบบ เชื่อว่ายังพอจัดการช่วยเหลือได้ แต่ก็อีกไม่น้อยเช่นกันที่เป็นเงินกู้นอกระบบ
หวังว่ารัฐบาลจะคำนึงถึงกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย