ออกอากาศไปไม่กี่ตอน ก็กระชากทั้งกระแสและเรตติ้งมาครอง สำหรับ “พรหมลิขิต” ละครภาคต่อของ “บุพเพสันนิวาส” ที่ยังใช้บริการพระนางคู่เดิม ‘โป๊ป’ ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ กับ ‘เบลล่า’ ราณี แคมเปน พร้อมนักแสดงแวดล้อมเก่าและใหม่ที่มาสร้างสีสันเพียบ
โกยทั้งเม็ดเงินโฆษณา โกยทั้งเรตติ้ง และยังสกัดกั้นเม็ดเงินเล็กๆ ที่อาจจะรั่วไหล ด้วยการจดลิขสิทธิ์ของพรหมลิขิตทุกอย่าง ซึ่งเรื่องนี้ คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) อรรถาธิบายให้ฟังว่า
“จริงๆ พรมลิขิต หรือ บุพเพสันนิวาส อะไรทั้งหลายที่อยู่ในซีรีส์ตรงนี้ จะเป็นการจดทะเบียนเป็นเจ้าของสิทธิ์ IP (intellectual property – ทรัพย์สินทางปัญญา) ที่เราเรียกว่า IP rights (intellectual property rights – สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา) ทั้งหมดจะเป็นของกลุ่ม BEC world หมายความว่าปัจจุบันนี้เราไม่ได้ทำทีวีเพื่อทำละครแล้วออกอากาศหน้าจออย่างเดียว มีหลายอย่างเวลาละครฮิตก็จะมีคนมาซื้อลิขสิทธิ์เราไปทำภาพยนตร์โฆษณา”
“ยกตัวอย่าง อีกหน่อยอาจจะมีคนมาเอาคุณ นักแสดงพระนางของเราอยู่ในชุดที่คนคุ้นเคยในละคร อย่างงี้ก็เรียกว่าเสียค่าสิทธิ์ นอกจากคุณจ่ายค่าตัวดาราแล้ว คุณยังต้องเสียค่า IP หรือค่าลิขสิทธิ์ให้ผมด้วย ค่าคาแร็กเตอร์ด้วย แล้วอีกหน่อยถ้ามันฮิตก็จะมีทำสินค้าที่ระลึก ซึ่งตอนนี้มีคนติดต่อขอซื้อนู่นซื้อนี่ เพื่อเอาไปทำหมวกทำหมอนทำอะไรแล้วแต่ ซึ่งเราไปจดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาไว้หมดเลย”
ถามว่าอะไรเป็นจุดเริ่ม ผู้บริหารใหญ่ช่อง 3 แจงว่า “จริงๆ มันเป็นการบริหารทรัพย์สินของเรา ละคร 1 เรื่องไม่ได้เป็นแค่ตัวละครอย่างเดียว แต่เป็นทั้งตัว คาแร็กเตอร์ เป็นทั้งอะไรต่อมิอะไร เราจึงต้องมีวิธีการหาเงินให้ได้หลายวิธี ถ้าดูหนังฮอลลีวู้ด เวลาจูราสสิคพาร์ค เข้ามาทีหนึ่งก็เข้ามาเต็มเลย ทั้งเสื้อผ้า ผลิตภัณท์ ของเรา ในอนาคตก็ต้องมี แต่ละครแนวบุพเพสันนิวาส พรหมลิขิต เราทำได้ เรามีบริษัทเอเยนซี่โฆษณา ซึ่งสามารถขโมยซีนใดซีนหนึ่งที่เขารู้ว่ามันปัง เพื่อก๊อบไปเป็นโฆษณา นี่คือที่มาของการได้เงิน เพราะฉะนั้นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามีความสำคัญ”
Advertisement
“พรหมลิขิต” เป็นละครเรื่องแรกที่จดลิขสิทธิ์ครอบคลุมทุกอย่าง “ใช่ ครั้งแรก เวลาจดก็จะมีบอกว่ามันครอบคลุมอะไรบ้าง จริงๆ เรามีการจดทะเบียนตลอด แต่อันนี้เป็นความพยายามของเราที่จะบริหารสิทธิ์ เพราะสมัยก่อนเวลาธุรกิจเราดีมากเราไม่มองพวกนี้เลย มันเหมือนเป็นเงินเล็ก แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเราบริหารทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์ เราก็อาจจะบาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่น และถ้าสมมติอีกหน่อยเศรษฐกิจดี พวกนี้ก็ถือเป็นโบนัสเพราะมีเงินเข้ามา”
ส่วนลิขสิทธิ์ครอบคลุมอะไรบ้าง คุณสุรินทร์บอก เยอะมาก มันครอบคลุมตั้งแต่ตัวคาแร็กเตอร์ คอสตูม แค่แต่งตัวให้คนคิดว่านั่นคือ แม่การะเกด หรือ หมื่นสุนทรเทวา แค่นี้ก็สามารถเอาเรื่องได้แล้ว เพราะทางช่องได้จดทะเบียนไว้แล้วว่าคาแร็กเตอร์แบบนี้ แต่งตัวลักษณะนี้เป็นต้น รวมถึงประโยคเด็ดในเรื่อง พวกนี้ก็เป็นในเรื่องลิขสิทธิ์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่เจตนา อยู่ที่สเกลของคนที่เอาไปทำ ถ้าเล็กๆ น้อยๆ เราคงไม่ใส่ใจไปฟ้อง แต่ถ้าทำเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งปกติบริษัทใหญ่ๆ เขาไม่เสี่ยง ยังไงก็จะมาติดต่อกับเจ้าของสิทธิ์ แล้วอย่างถ้าคนทั่วไปแต่งตัวย้อนยุคก็ไม่เป็นไร เราคงไปเคลมไม่ได้ เราไม่คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น
บอสใหญ่ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า จริงๆ ในอดีตช่อง 3 เคยเปิดร้านขายสินค้าของ ที่ระลึกจากละคร แต่มันไม่ใช่ทางเรา เรา ทำเป็นช่องทางการโปรโมตละคร และเพื่อให้แฟนคลับ ทำเพื่อเจตนาแบบนั้น แต่ ตอนหลังได้เลิกไป เนื่องจากมีปัญหาเยอะในการควบคุมสินค้า เรื่องการดีไซน์ แต่ถ้าเราขายลิขสิทธิ์ มันควบคุมง่ายและไม่ต้องทำเอง แต่เราก็ไม่ได้ทำแบบนี้กับละครทุกเรื่อง แล้วแต่เรื่อง เพราะเราทำละครปีหนึ่งหลาย 10 เรื่อง ละครบางเรื่องคงไม่ได้ไปจดอะไร แล้วการขายโฆษณาละคร พรหมลิขิต เป็นการขายแบบใหม่ สมัยก่อนละครออกเรามีคำสั่งซื้อ แต่พรหมลิขิตนี่เขาสั่งซื้อ เขาจองกันมาตั้งแต่ไก่โห่ เขาไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะ แล้วโดยรวมเราขายแพงกว่าปกติด้วย
นอกจากนี้เรายังขายละคร “พรหมลิขิต” หลายประเทศ ทั้ง พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา เกาหลี สิงคโปร์ จีน อย่างจีนตรวจนานแต่คุ้ม เพราะเขาซื้อแพง เขาเงื่อนไขเยอะ ผีไม่ให้ LGBTQ ไม่ให้ ย้อนเวลาก็ ไม่ได้ แต่เราก็ส่งให้เขาไปตรวจก่อน กติกาเยอะ แต่ก็ผ่านมาได้ นอกจากนี้ก็ยังได้ ออกอากาศทาง Netflix ด้วย
ด้านงบประมาณการลงทุน คุณสุรินทร์เผยว่า “พรหมลิขิตใช้ทุนเยอะกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะใช้ระยะเวลาถ่ายทำนาน เรื่องบทก็สำคัญ พอออกมาไม่ถูกใจเขาก็รื้อกลับไปเขียนใหม่ ก็จะมีระหว่างการถ่ายทำที่ต้องยกกอง นี่คือต้นทุน แต่ทุกคนก็แฮปปี้ เพราะทุกคนอยากอยู่ในละครที่ออกมาดีและมีคุณภาพครับ”
พลเทพ สารภิรมย์
