ท่าทีพรรครวมไทยสร้างชาติต่อร่างกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” มีความแหลมคม
แหลมคมจากมติล่าสุดที่พร้อมยกมือสนับสนุนร่างกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ให้ผ่านวาระ 1 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 21 ธันวาคม
ทั้งๆ ที่หากมองรากฐานของพรรครวมไทยสร้างชาติ ค่อนข้างแปลก
แปลกเพราะว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้านมาต่อเนื่อง
ต้านกระทั่งร่าง “สมรสเท่าเทียม” เดี้ยงแล้วเดี้ยงเล่า
การทำความเข้าใจต่อ “องค์ประกอบ” พรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีความจำเป็น
1 พรรครวมไทยสร้างชาติอันดึงคนจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย มีเป้าหมายในทางการเมืองอย่างไร
ตอบได้เลยว่าเพื่อสืบทอดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะเดียวกัน 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีท่าทีสกัดขัดขวางและเตะถ่วง “สมรสเท่าเทียม” อย่างจริงจัง
ถามว่าแล้วปัจจัยอะไรทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติแปรเปลี่ยน
คําตอบมิได้สลับซับซ้อน หากแต่แวดล้อมและขึ้นอยู่กับเหตุเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม
เหตุเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม มองได้จาก 2 ปรากฏการณ์อันทรงความหมาย 1 คือการกลับมาของ นายทักษิณ ชินวัตร เห็นได้ที่ดอนเมือง
1 คือการโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” ในที่ประชุม รัฐสภา
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ลุกขึ้นขานชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อพรรคเพื่อไทยเอา “สมรสเท่าเทียม” พรรครวมไทยสร้างชาติก็เอาด้วย
การเมืองไทยจึงดำรงอยู่จากผลสะเทือนเนื่องแต่เหตุการณ์วันที่ 22 สิงหาคมชัดเจน
การร่วมมือระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคเพื่อไทย คือจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
และต่อเนื่องมาถึง “สมรสเท่าเทียม” ในที่สุด