ระบบ “ไพรมารี” กำลังจะเป็นเครื่องทดสอบอันทรงความหมายยิ่งไม่เพียงแต่ 1 ต่อรัฐธรรมนูญและต่อกฎหมายลูก หาก 1 ยังต่อคสช.
ตกลงจะ “เดินหน้า” หรือว่า “ถอยหลัง”
หากฟังแถลงล่าสุดจาก นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งทำหน้าที่ในการรวบรวมและเสาะหาหนทางเพื่อเสนอต่อคสช.ก็พอจะมองเห็นเลาๆ
นั่นก็คือ จะดำเนินไปใน 2 แนวทาง
แนวทาง 1 คือดำเนินการไพรมารีในระดับภาค และแนวทาง 1 ย้อนกลับไปยังมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือให้พรรคการเมืองรับฟังความเห็นจากสมาชิกแล้วตัดสินใจ
ตกลงเป็นการถอยหลัง หรือว่าเดินหน้า
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางระดับภาค ไม่ว่าจะเป็นแนวทางย้อนกลับไปใช้บทบัญญัติของมาตรา 45 ในรัฐธรรมนูญเป็นหนทางออก
ล้วนเคยมีเสียง “เตือน” มาแล้ว
Advertisement
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย
ต่างดาหน้ากันมาติงตั้งแต่เมื่อแรก “ไพรมารี” ปรากฏขึ้น
ดูเหมือนเสียงเตือนจากแทบทุกพรรคการเมืองหลักบรรดาสนช.ต่างไม่ยอมรับฟัง เมื่อในที่สุดคสช.จะเดินไปบน 2 หนทางนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
เสียงร้องยี้ก็ดังกระหึ่มตามมา
เหตุปัจจัยอะไรทำให้แทบทุกพรรคการเมืองกระแส “หลัก” ตั้งข้อสงสัยต่อวิจารณญาณของคสช.เพราะล้วนตระหนักในความเป็นจริงทางการเมือง
ตระหนักว่าเหตุปัจจัยอะไรถึงได้เลือกอย่างนั้น
สภาพก็เหมือนกับเบื้องหลังการตราคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 นั่นแหละ คือมิได้ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างพรรคการเมือง
หากแต่ต้องการ “เซ็ตซีโร่” พรรคการเมืองเดิม
เหตุผลอันเป็นทางออกสำหรับระบบ “ไพรมารี” ก็อีหรอบเดียวกัน ปัจจัยหลักมาจากความไม่พร้อมของพรรคการเมืองซึ่งเป็นเครือข่ายของคสช.นั่นเอง
จึงต้องทำเรื่องตลกและไร้สาระให้เป็นที่ปรากฏ
ไม่ว่าคสช.จะเลือกหนทางออกอย่างไร ระหว่างการจัดทำแบบรายภาค หรือย้อนกลับไปยังมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ
เป้าหมายการวิพากษ์วิจารณ์ก็จะอยู่ที่ “คสช.”
เหมือนๆ กับการไม่ยอม “ปลดล็อก” ให้กับพรรคการเมืองขณะที่เปิดไฟเขียวให้ “กลุ่มสามมิตร” เพื่อสร้างความได้เปรียบในทางการเมือง
ในที่สุด บูมเมอแรงก็จะหวนมายัง “คสช.”