การลุกขึ้นใหม่ของไทยรักษาชาติหลังมรสุมซัด

คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง

การลุกขึ้นใหม่ของไทยรักษาชาติหลังมรสุมซัดหากนับจากสถานการณ์เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มายังวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลาเพียง 4 วันถือได้ว่าพรรคไทยรักษาชาติปรับตัวได้รวดเร็วมาก

รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ

แม้ภาพที่ปรากฏอย่างเด่นชัด คือ การเดินเข้าที่ทำการพรรคของกรรมการบริหารที่นำโดย ..ปรีชาพล พงษ์พานิช

แต่ความจริงภายในกรรมการบริหารพรรคก็มีที่ไม่ควรมองข้าม

อย่างน้อยการที่ ..ปรีชาพล พงษ์พานิช นำนายทะเบียนพรรคและผู้สมัคร ส..บัญชีรายชื่อพรรคไปไหว้พระ ณ วัดสำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เท่ากับเป็นการ ส่งสัญญาณ

สัญญาณอันส่งมาจากผู้อาวุโสของพรรค








Advertisement

ต้องยอมรับว่า นอกเหนือจาก ..ปรีชาพล พงษ์พานิช แล้วสังคมทอดมองไปยังบทบาทไม่ว่าจะเป็น นายจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ว่าจะเป็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

เพราะว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธานยุทธศาสตร์

เพราะว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นประธานรณรงค์หาเสียง

หากว่า 2 คนนี้กบดานนิ่งสนิท ไม่ยอมสำแดงท่าทีอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยก็น่าหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง

น่ายินดีที่ทั้ง 2 มิได้นิ่งเงียบอย่างชนิดมิดอิมซิม

ทั้ง 2 ยังสะท้อนตัวตนที่ยืนหยัดออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังแฝงอารมณ์ขันอย่างรู้เท่าทันต่อสถานการณ์

ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าพรรคการเมือง ไม่ว่านักการเมือง ต้องยอมรับต่อแต่ละก้าวย่างทางการเมืองของตน ไม่ว่าในด้านดี ไม่ว่าในด้านร้าย

เพราะที่ดำเนินการเป็นไปตามมติ

น่าชื่นชมสปิริตไม่ว่าจะมาจาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ว่าจะมาจาก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แม้ว่ามิได้เป็นกรรมการบริหารพรรค

แต่เมื่อพรรคมีมติออกมาแล้วก็ให้การเคารพ ยอมรับ

แม้กองเชียร์บางส่วนจะหงุดหงิดและแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง แต่ก็พร้อมแสดงท่าทีที่มิได้ฝืนต่อมติพรรคอย่างเสรีไร้ขอบเขต

ตรงนี้เองที่เรียกกันว่าพรรคภาพ

เมื่อผู้อาวุโสระดับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นมวยหลัก เมื่อผู้ผ่านร้อนหนาวมาก่อนหน้าระดับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนักแน่นและมั่นคง

นั่นย่อมเป็นธงให้คนรุ่นหลังที่เฝ้ามอง

เพียง 4 วันหลังประสบวิกฤตในทางการเมือง พรรคไทยรักษาชาติก็สามารถตั้งหลักและเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความเข้มแข็ง

ฮะเบสสมอพลัน ตรงไปยังการเลือกตั้ง

คลิกอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน