ไม่ว่ากรณี “ธุรกิจสีเทา” ของตู้ห่าว ไม่ว่ากรณี “2 หมื่น 7 พัน” ของดาราไต้หวัน

เมื่อสืบสาวราวเรื่อง แต่ละจังหวะก้าวของการเคลื่อนไหว ภายใต้ปฏิบัติการอันเหม็นโฉ่สามารถลากสายยาวไปยัง “โครงสร้าง”

เป็น “โครงสร้าง” และการบริหารจัดการ “ตำรวจ”

แม้กระบวนการในการขุดคุ้ย เปิดโปงและนำรายละเอียดออกมาตีแผ่จะเป็นผลงานที่น่าชมเชยของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แห่งเดวิส กรุ๊ป

กระนั้น ในที่สุดก็ยุติลงที่คำว่า “ตั๋วช้าง”

เมื่อลงเอยที่คำว่า “ตั๋วช้าง” ก็ย่อมมี นายรังสิมันต์ โรม ก็ย่อมมีพรรคก้าวไกล

มิใช่ นายรังสิมันต์ โรม นำเอากระบวนการ “ตั๋ว” และเป็นระดับ “ตั๋วช้าง” ออกมาเปิดถึงการโยกย้ายและแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ของตำรวจหรอกหรือ

ทำให้ในความทรุดเสื่อมและเน่าเฟะ








Advertisement

ในที่สุด การได้มาของ “ข้อมูล” ไม่ว่ามองผ่านกระบวนการของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไม่ว่ามองผ่านกระบวนการของ นายรังสิมันต์ โรม

ล้วนมาจาก “ภายใน” ของ “ตำรวจ”

หากไม่มี “คนใน” นำข่าวมาบอกประสานกับการเปิดเผย “เอกสาร” หลักฐาน

ไฉน นายรังสิมันต์ โรม จะได้แม้กระทั่งหนังสือ “แนะนำ” ตัวอย่างชนิด “ลับสุดยอด” ทั้งในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจนครบาล

ยิ่ง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยิ่งได้ “คลิป” ออกมาชัดๆ

ไม่ว่าจะเป็นคลิปจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคลิปจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล

“ป้อมค่าย” จึงฉาวโฉ่ออกมาจาก “ภายใน”

ถามว่าใครคุม “ตำรวจ” ถามว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับ “ตั๋วช้าง”

เหมือนกับคำตอบจะพุ่งไปยัง “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แต่ในที่สุดแล้วก็ส่งตรงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

นี่ย่อมเป็น “ผลงาน” นับแต่ “รัฐประหาร” เด่นชัด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน