การบุก “บ่อนหรู” ที่โรงแรมแห่งหนึ่งของงามวงศ์วานก่อให้เกิดความตื่นตัวโดยอัตโนมัติ

พลันที่พบว่าลูกค้าภายใน “บ่อนหรู” แห่งนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็น “คนจีน” ผลที่ตามมาก็คือ พาดหัวข่าวของสื่อระบุลงไปถึงร่องรอยแห่ง “จีนเทา”

เป็น “จีนเทา” อันเคยอึกทึกครึกโครมก่อน “การเลือกตั้ง”

คนแรกที่สังคมให้ความระลึกถึงอย่างฉับพลันทันใดย่อมเป็น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เนื่องจากมีบทบาทเป็นอย่างสูงในการขุดคุ้ยและเปิดโปง “จีนเทา”

คำถามจึงพุ่งตรงไปยัง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

เมื่อสำรวจสภาพการณ์โดยรอบอันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ “จีนเทา” ต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นสภาพการณ์จากกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นสภาพการณ์จากลาว ไม่ว่าจะเป็นสภาพการณ์จากสามเหลี่ยมทองคำ

และที่สุดก็คือสภาพการณ์ที่ “เล้าก์ก่าย” อันมากด้วยความอึกทึก








Advertisement

สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์และยึดโยงของธุรกิจ “จีนเทา” ที่แผ่ขยายราวตาข่ายของแมงมุมจากเล้าก์ก่ายมายัง “งามวงศ์วาน”

รัฐบาลจีนก็หงุดหงิด สังคมไทยก็หงุดหงิด หวาดระแวง

คำถามตรงถึงเจ้าหน้าที่ก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความหงุดหงิดหรือไม่

โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านจากผบ.ตร. “เก่า” มาเป็นผบ.ตร. “ใหม่” ความหงุดหงิดต่อธุรกิจ “จีนเทา” จะดำเนินไปอย่างไร

สานต่อความมุ่งมั่นของผบ.ตร. “เก่า” หรือเพิ่มความเข้มมากขึ้น

หรือว่าเมื่อเงียบจากเสียงรุกเร้าเร่งรัดโดย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แล้วทุกอย่างจะย้อนกลับไปสู่ร่องรอยเดิม ความเคยชินเดิม

ยืนยันการดำรงอยู่ของ “จีนเทา” เป็นความถูกต้อง ชอบธรรม

ไม่ว่าสถานการณ์ แป้ง นาโหนด ไม่ว่าสถานการณ์ “หมูเถื่อน” ที่อาละวาดอยู่ขณะนี้

กลายเป็นคำถามอย่างแหลมคมต่อกระบวนการยุติธรรม กลายเป็นคำถามและความสงสัยในบทบาทของตำรวจซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมาย

เมื่อมี “จีนเทา” เข้ามาเสริมเติม ก็ยิ่งมีความเข้มข้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน