สถานการณ์ย้าย นายสมชัย สัจจพงษ์ ออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เหมือนกับกรณีย้าย “อธิบดี” กระทรวงแรงงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
เพียงแต่ผลจากสถานการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ลงเอยด้วยการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยื่นใบลาออกจากตำแหน่งและนำไปสู่การปรับครม.
แต่จากสถานการณ์เดือนเมษายน 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยกับมติครม. แต่ผลไปลงเอยที่ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังยื่นใบลาออกจากการเป็นข้าราชการ
ผลอาจไม่นำไปสู่การปรับครม.แต่ก็สำคัญ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า นายสมชัย สัจจพงษ์ ถือได้ว่าเป็นทีมงานของกระทรวงการคลังในยุคนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ยิ่งในยุค นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยิ่งมากด้วยบทบาท
Advertisement
เพราะว่ามีสายสัมพันธ์กับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
สายสัมพันธ์นี้จึงอรชรอย่างเป็นพิเศษนับแต่เดือนสิงหาคม 2558
หากฟังจากปาก นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ก็ต้องยอมรับว่า นายสมชัย สัจจพงษ์ มีบทบาทอย่างสำคัญในการขับเคลื่อนให้กับรัฐบาลและให้กับคสช.
แล้วทำไมจึงต้องย้าย นายสมชัย สัจจพงษ์ ออก
ไม่ว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างมองในแง่ดีต่อการย้ายครั้งนี้
เพราะ นายสมชัย สัจจพงษ์ จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น
กระนั้น หากมองจาก นายสมชัย สัจจพงษ์ ก็ต้องยอมรับว่าการย้ายจากปลัดกระทรวงการคลังไปยังเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถือเป็นการลด “เกรด”
จากที่คุมกำลังพล “นับหมื่น” เหลือเพียง “500”
แม้จะอยู่ระหว่างเดินทางไปกับครอบครัวในต่างประเทศ แต่ นายสมชัย สัจจพงษ์ ก็ไม่ลังเลใจที่จะยื่นใบลาออก
เป็นการลาออกจาก “ราชการ” ด้วยความขมขื่นใจ
การลาออกของ นายสมชัย สัจจพงษ์ อาจไม่ส่งผลสะเทือนรุนแรงเท่ากับการลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
เพราะเสมอเป็นเพียง “ปลัดกระทรวง”
แต่เรื่องซึ่งเกิดขึ้นกับ นายสมชัย สัจจพงษ์ เรื่องซึ่งเกิดขึ้นกับ นายปรเมธี วิมลศิริ ล้วนเป็นเรื่องอันเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ รัฐบาลหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ยากยิ่งที่จะโทษไปยังรัฐบาล “ก่อน” ได้เต็มปาก เต็มคำ