คล้ายกับว่าภายในการเดินสายใช้ “พลังดูด” จะเป็นท่วงทีและลีลา

“รุก” ในทางการเมืองอันมาจาก คสช.โดยมี “กลุ่มสามมิตร”เป็นกองหน้า

สะท้อนให้เห็นว่าภายใน “พรรคเพื่อไทย”มีจุดอ่อน ช่องโหว่ทางการเมืองดำรงอยู่ สามารถเจาะทะลวงเข้าไปล้วงดึงออกมาได้

กระนั้น ภายในการเดินสายใช้ “พลังดูด”นั้นก็ฟ้องให้เห็นถึงจุดอ่อน ช่องโหว่ภายในกระบวนการสร้างพรรคการเมืองของคสช. ออกมาอย่างล่อนจ้อน

ที่แน่ๆ ก็คือ คสช.หวาดกลัวความแข็งแกร่งของ “พรรคเพื่อไทย” และประเมินว่าหากไม่ “ดูด”ออกมาคงต้องพ่ายแพ้

ในอีกด้านจึงเท่ากับยอมรับความเป็นที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย

 

ความจริง ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งนั้น เป็นสิ่งที่ทุกพรรคฝ่ายไม่อาจปัดปฏิเสธได้








Advertisement

ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย

เพราะไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าพรรคพลังประชาชน กระทั่งมาใช้ชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ล้วนครองอันดับ 1 ในสนามเลือกตั้ง

นับแต่เลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 เลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 และท้ายสุดเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554

ขนาด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ละอ่อนอย่างยิ่งในทางการเมือง ยังพิชิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ราบคาบ

ไม่ต้องพูดถึงว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลัวขนาดไหน

หากไม่กลัวก็คงไม่สมคบกัน “ชัตดาวน์”การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2557

ความกลัวจากพรรคประชาธิปัตย์จึงตกทอดมาถึง คสช.

 

การใช้กระบวนการ “ดูด”โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นกองหน้าจึงเพื่อบรรลุภารกิจที่ 1 บ่อนทำลายพรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกัน 1 เพื่อมิให้รัฐประหาร 2557 ต้องซ้ำรอย “เสียของ”เหมือนรัฐประหาร 2549

กระนั้น คสช.ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมาย

เพราะถึงอย่างไรอันดับ 1 พรรคเพื่อไทยก็ยังยึดครองอยู่ในความเชื่อของผู้คนอยู่นั่นเอง

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน