หากนำเอากระบวนการดูดอดีตส.ส.จากพรรคพลังชลเข้าไปเทียบ กับกระบวนการดูดอดีตส.ส.จากพรรคเพื่อไทย และล่าสุดกระบวนการดูดอดีตส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์
ก็จะเห็นลักษณะ “ร่วม” เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
1 กรณีของพรรคพลังชลอยู่ที่ชลบุรี กรณีของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่สระแก้ว กรณีของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่กาญจนบุรี
1 เป็นกระบวนการดูดจาก”พรรคพลังประชารัฐ”
ขณะเดียวกัน 1 ไม่ว่าชลบุรี ไม่ว่าสระแก้ว ไม่ว่ากาญจนบุรีมีมูลฐานมาจากคดีความ
เสียงจากพรรคเพื่อไทย เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ตรงกัน
นั่นก็คือ ฝ่ายที่ใช้”พลังดูด”อาศัยเงื่อนไขของคดีความไปกดดันและบีบบังคับ
เมื่อนำเอากรณีของชลบุรี กรณีของสระแก้ว กรณีของกาญจนบุรี ไปศึกษาร่วมกับกรณีของนครปฐม กรณีของอุทัยธานี ก็จะมองเห็นความละม้ายเหมือนกัน
Advertisement
เพียงแต่ 3 กรณีแรกเป้าหมายคือ พรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่อีก 2 เป้าหมาย แม้จะมีความพยายามอันมาจากพรรคพลังประชารัฐ แต่ 2 เป้าหมายก็เบี่ยงเบนและมีข่าวว่าอาจไปอยู่พรรคภูมิใจไทยแทนที่จะเป็นพรรคพลังประชารัฐ
สภาพที่เหมือนกันเป็นอย่างมากก็คือ ไม่ว่าที่นครปฐม ไม่ว่าที่อุทัยธานีล้วนเคยถูกบุกเข้าตรวจค้นในข้อสงสัยว่ามีอิทธิพล
กระบวนการดูดจึงดำเนินไปใน 2 แนวทาง
แนวทาง 1 คือ พุ่งเป้าไปยังคนที่มีคดีความ 1 คือ พุ่งเป้าไปยังคนที่เคยถูกกวาดล้าง จับกุม ปรับทัศนคติ
ลองได้ศึกษากรณีชลบุรี กรณีสระแก้ว กรณีกาญจนบุรี ประสานเข้ากับกรณีนครปฐม และกรณีอุทัยธานี ก็แทบไม่แตกต่างกันมากนัก
จุดหมายปลายทางจึงอยู่ที่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย
กระบวนการสร้างพรรคพลังประชารัฐ กับ กระบวนการสร้างพรรค ภูมิใจไทย จึงมีทั้งจุดร่วมและจุดต่าง
เท่ากับ 2 พรรคนี้มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกัน
อย่าได้แปลกใจหากพรรคภูมิใจไทยเคยสร้างปรากฏการณ์ 3 หมื่นกว่าคนที่บุรีรัมย์ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐมีรัฐมนตรีร่วมอยู่
2 พรรคนี้สะท้อนเส้นทางของ”พลังดูด”เข้มข้น