ไม่เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปฏิเสธการเข้าร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ทางการเมือง กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หากคนจากพรรคพลังประชารัฐก็ค่อยอำลาจากเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์
เหตุผลก็ดังที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ยืนยัน
“การที่เราไม่ไปดีเบตเพราะเราพูดไม่เก่ง แต่ทำเก่งกว่า เราอาจไม่มีประสบการณ์เหมือนพรรคอื่นแต่เราดีกว่าและจริงใจกว่า หลายๆพรรค”
น่าสังเกตว่าไม่เพียงแต่พรรคพลังประชารัฐเท่านั้นหากพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็ทยอยถอยออกจากเวทีดีเบต
นี่ย่อมเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งในทางการเมือง
แม้จะระบุว่าพรรคพลังประชารัฐพูดไม่เก่ง แต่หากกล่าวสำหรับพรรครวมพลังประชาชาติไทยแล้วไม่น่าจะใช่
อย่างน้อยแกนนำก็เคยเป็น “นักเคลื่อนไหว”
หากมิได้เคยเป็นโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เคยเป็นนักพูดคนสำคัญของกปปส.บนเวทีปราศรัยเบื้องหน้ามวลมหาประชาชน
ขณะเดียวกัน หากสำรวจฐานความรู้ ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็มากด้วย”ดอกเตอร์” บางคนระบุว่ามีปริญญามากกว่า 5 ใบด้วยซ้ำ
เหตุใดจึงทยอยถอยออกจากเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ทั้งๆที่ มากด้วยวิสัยทัศน์
หรือเพราะเห็นว่าไร้สาระเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยระบุ หรือเพราะเห็นว่าดีเบตของสังคมไทยแตกต่างไปจากดีเบตของต่างประเทศ
หรือเพราะว่ายิ่งดีเบตยิ่งเปิดวิสัยทัศน์สถานะของพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทยกลับตกเป็น”จำเลย”
ยิ่งใกล้วันที่ 22 มีนาคม บทบาทของพรรคพลังประชารัฐ บทบาทของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ยิ่งเข้ามาดำรงอยู่ในระนาบเดียวกัน
นั่นก็คือ ระนาบของการพูดฝ่ายเดียว ไม่ชมชอบการโต้แย้ง
นั่นก็คือ ระนาบอัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงอยู่นับแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
นั่นก็คือ การสื่อสารทางเดียว มิใช่การสื่อสารหลายทาง