รับมือภัยแล้ง
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
รับมือภัยแล้ง – สัญญาณของภัยแล้งเริ่มปรากฏในพื้นที่หลายแห่งของประเทศแล้ว และเป็นเรื่องที่ต้องเร่งหามาตรการรับมือ
โดยเฉพาะกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องที่ต้องให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยไม่ต้องรอการปรับเปลี่ยนรัฐบาลจากผลการเลือกตั้งปลายเดือนมีนาคม
การที่ประเทศไทยเคยมีบทเรียนครั้งใหญ่มาแล้วจากเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงเมื่อปี 2554 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง จึงไม่ควรซ้ำรอยอีก
แม้ว่าบทเรียนครั้งก่อนจะเป็นผลมาจากน้ำมาก ส่วนครั้งนี้ที่เผชิญอยู่คือเรื่องน้ำน้อย
แต่ทั้งสองสถานการณ์ล้วนเป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำเช่นเดียวกัน
ภัยแล้งปีนี้เป็นสถานการณ์ที่น่าวิตก เนื่องจากสหประชาชาติระบุว่า ปี 2019 หรือ 2562 จะเป็นปีที่อากาศร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์
มีสาเหตุจากปรากฏการณ์เอลนีโญ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ภาวะโลกร้อน
ข้อมูลเดือนมีนาคม จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และการประปาส่วนภูมิภาค พบความเสี่ยงขาดแคลนน้ำดิบในช่วงฤดูแล้งปี 2561/62 และการแก้ไขปัญหาและเฝ้าระวัง ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
อีกทั้งยังพบว่าเขื่อนที่วิกฤตมีน้ำน้อยกว่า 30% มีจำนวนมาก นับเฉพาะเขื่อนขนาดกลางมีแล้ว 13 เขื่อน ที่ไม่เหลือน้ำใช้แล้วอยู่ในภาคอีสาน
การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของหน่วยงานรัฐขณะนี้ ได้แก่ การสูบน้ำ และจัดสรรน้ำตามช่วงเวลา รวมถึงการเจาะบ่อบาดาล
3 กระทรวง ได้แก่ มหาดไทย กลาโหม เกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบและเตรียมมาตรการรองรับพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เพื่อปรับแผนการจัดสรรน้ำ
ขณะที่ชาวบ้านเรียกร้องของบประมาณสำหรับขุดลอกแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยการกระจาย อำนาจจากภาคการเมืองเพื่อให้แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจ
ส่วนกองทัพน่าจะเป็นหน่วยงานสำคัญในการปฏิบัติตามแนวทางการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เหมือนเมื่อปี 2554 ไม่ว่าพรรคใดจะได้มาเป็นรัฐบาล
อ่านข่าว
- ภัยแล้ง กระทบแล้ว 4 อำเภอสารคามวิกฤต ไร้น้ำทำนาปรัง สูญรายได้ 400 ล้าน
-
แนะรบ.ใหม่เพิ่มงบประมาณจัดการน้ำ เตือนภัยแล้งปีนี้เร็ว-รุนแรง