FootNote : กรณี กก.สรรหา 250 ส.ว. กรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ไม่ว่ากรณีการถือหุ้นสื่อของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่ากรณีการใช้งบประมาณ 1,300 ล้านบาทสำหรับการเลือกตั้ง 250 ส.ว.
แม้ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องแต่ก็กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
เนื่องจากปลายทางของเรื่องรวมศูนย์ไปยังจุดเดียวกัน นั่นก็ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะการสรรหาและเลือก 250 ส.ว.ในที่สุดก็มีผลอย่างสำคัญในการลงมติเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐ มนตรี
เพราะการถือหุ้นสื่อของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีผลทำให้คะแนนเสียงต่อต้านการสืบทอดอำนาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลง 1 คะแนนเสียง
สิ่งเหล่านี้มีผลย้อนไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไร
ต้องยอมรับว่าที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่อาจร่วมปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้เพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญอันเนื่องจากกกต.ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ทันทีที่พรรคอนาคตใหม่นำหลักฐานว่ามี ส.ส.จำนวน 40 กว่าคนยึดครองหุ้นสื่อส่งให้ประธานรัฐสภา
แล้วประธานรัฐสภานำส่งศาลรัฐธรรมนูญ
เรื่องก็เข้าอยู่ในกระบวนการและหากถือเอากรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นบรรทัดฐาน ภายใน 7 วันศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมีท่าที
และท่าทีนั้นจะเป็นเหมือน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือไม่
เช่นเดียวกับกรณีการสรรหา 250 ส.ว.เมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการสรรหาน่าจะขัดกับหลักธรรมาภิบาลอันเป็นการขัดกันทางผลประโยชน์
นั่นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้นมาเพื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
แล้วผลการลงมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนจะชอบธรรมหรือไม่
สรุปตามสำนวนไทยโบราณก็ต้องว่า เป็นลักษณะวัวพันหลักเข้าทำนองขว้างงูไม่พ้นคอ หรือจะสรุปตามสำนวนในยุคแห่งการรัฐประหารก็คือ กลัดกระดุมผิด
เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกไม่ชอบมาพากล กระดุมเม็ดหลังๆก็ย่อมจะบิดๆเบี้ยวๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอย
งูที่ขว้างออกไปย่อมย้อนกลับมาพันคอตัวเอง
เป็นคออันองอาจสง่างามของใครก็รู้กันอยู่ มิใช่หรือ