FootNote:กัปปิยโวหารจาก‘มหาดไทย’ กรณีปิดเมือง บุรีรัมย์ อุทัยธานี
ในเมื่อทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดไฟ เขียวให้กับมาตรการ”ปิดเมือง”ของบุรีรัมย์ อุทัยธานีว่าสามารถทำได้
ถามว่าจะมีจังหวัดอื่นนอกเหนือจากบุรีรัมย์ อุทัยธานี จะเดินตามแนวทางเดียวกันนี้ได้หรือไม่
ต้องดูสถานการณ์ของบุรีรัมย์ อุทัยธานีไปอีกระยะหนึ่ง
นั่นก็คือ 1 ความเข้มของบุรีรัมย์ อุทัยธานี จะยกระดับไปถึงขั้นใดและมีผลกระทบอะไรตามมาหรือไม่
นั่นก็คือ 1 เงื่อนไข”ภายใน”ของแต่ละ”จังหวัด”
เป็นเงื่อนไขอันมีพื้นฐานว่าองค์ประกอบภายในจังหวัดระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับตัวแทนจากส่วนกลางเป็นอย่างไร
เป็นเหมือนกับบุรีรัมย์ เป็นเหมือนกับอุทัยธานีหรือไม่
ยอมรับเถิดว่าสภาพทางการเมืองการปกครองที่ดำรงอยู่ในบุรีรัมย์และอุทัยธานีมีลักษณะพิเศษ
นั่นก็คือ เป็นจังหวัดอันมีลักษณะ”เฉพาะ”ต่อเนื่อง ยาวนาน
เพราะว่าบุรีรัมย์ถือได้ว่าเป็นเขตอิทธิพลของตระกูล”ชิดชอบ” เช่นเดียวกับอุทัยธานีถือได้ว่าเป็นเขตอิทธิพลของตระกูล”ไทยเศรษฐ์”
เหมือนที่ครั้งหนึ่งสุพรรณบุรีเป็นของ”ศิลปอาชา”
จุดแข็งอย่างสำคัญนอกจากเป็น”ขาใหญ่”ในพื้นที่แล้วยังมีความ เฉลียวอย่างต่อเนื่องที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายกุมอำนาจ ไม่ว่าอำนาจจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าอำนาจจากการรัฐประหาร
จุดแข็งนี้หากคนของพรรคการเมืองอื่นจะลอกเลียนแบบก็อาจไม่ราบรื่นเหมือนในกรณีของบุรีรัมย์ และก็ไม่อาจไม่ราบรื่นเหมือนในกรณีของอุทัยธานี
โดยเฉพาะหากเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
สมมติว่าผู้ว่าราชการในจังหวัดที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยยึดครองพื้นที่ต่อเนื่องจะประกาศ”ปิดเมือง”โดยได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส.พรรค เพื่อไทย
เชื่อได้เลยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะไม่ออกมาสำแดงกัปปิยโวหารในลักษณะนี้
ทั้งนี้ แทบไม่ต้องพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะว่าอย่างไร
การขับเคลื่อนของบุรีรัมย์ การขับเคลื่อนของอุทัยธานี จึงดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น”สินค้าตัวอย่าง”
มีแต่”ขาใหญ่”เท่านั้นที่สามารถทำได้ ห้ามลอกเลียนแบบ