บทบรรณาธิการ – ขัดแย้งอย่างผู้เจริญ
การส่งเสียงจากเจ้าหน้าที่รัฐรวมถึงสมาชิกพรรคการเมืองบางพรรคสนับสนุนให้กลุ่มมวลชนฝ่ายหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวเข้มข้นขึ้นในช่วงนี้ แม้เป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่ก็มีข้อที่น่าวิตกกังวล
โดยเฉพาะการใช้กำลังต่อฝ่ายผู้ชุมนุมนักศึกษาอย่างเหตุการณ์ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ดังนั้นผู้ที่เคยส่งเสียงเชียร์จึงควรต้องห้ามปรามกันเองไม่ให้ล้ำเส้น
แม้การแสดงออกความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษนิยมปรากฏเป็นปกติในสังคมประชาธิปไตย
เพื่อให้สังคมไทยพัฒนาสู่สังคมที่เจริญแล้วและมีวุฒิภาวะเพียงพอ
เหตุการณ์ที่เตือนใจสังคมมาตลอดการเมืองร่วมสมัย คือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์เมษายน–พฤษภาคม 2553
ทั้งสองเหตุการณ์มีการปลุกความเกลียดชังในหมู่ประชาชนให้สถานการณ์บานปลายไปจนถึงขั้นประหัตประหารกันโดยเจตนา ทั้งฝ่ายสนับสนุนความรุนแรงยังดูดายไร้ความรู้สึกเมื่อเห็นฝ่ายที่ถูกกระทำสูญเสียและทุกข์ทรมานใจ
บทเรียนและบาดแผลนี้สะท้อนถึงสังคมไทย ที่อยู่ห่างไกลกับความเจริญทั้งทางจิตใจและ ศีลธรรม
การข่มขู่คุกคามด้วยความรุนแรง ปองร้าย หรือคิดเอาชีวิตผู้อื่น เพียงเพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน มีความหวังถึงอนาคตที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องที่โหดร้ายและโหดเหี้ยมเกินไปทั้งกับสังคมไทยและสังคมโลก
ช่วงเวลานี้สังคมไทยต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเรียนรู้และมีพัฒนาการที่จะอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความขัดแย้ง
การพิสูจน์นี้มีเส้นคั่นระหว่างสันติกับความรุนแรง
หากฝ่ายเสรีนิยมที่เรียกร้องให้ปรับปรุงระบบระเบียบทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ชุมนุมโดยปราศจากความรุนแรง พูดถึงเหตุผลและ ข้อเรียกร้องที่ชัดเจนต่อรัฐบาล ก็ควรต้องยึดแนวทางนี้ต่อไป
ส่วนฝ่ายอนุรักษนิยมที่เริ่มออกมาแสดงออกมากขึ้น ควรแสดงให้เห็นเช่นกันว่าเป็นฝ่ายยึดถือสันติ มีเมตตา ไม่ใช่ฝ่ายขวาในรูปแบบเดิมในอดีต
ยิ่งเมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือพรรคการเมือง ยิ่งต้องแสดงตน ให้ได้ว่าเป็นผู้ที่เป็นต้นแบบอนุรักษนิยม ที่ไม่ทำร้ายสังคมและผู้เห็นต่างจากตนเอง