คอลัมน์ บทบรรณาธิการ

ต้องคิดได้ – ระหว่างที่กลุ่มคนใส่เสื้อเหลืองเดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและผู้นำกองทัพ ด้วยเรียกร้องให้ชัตดาวน์ประเทศ
เพื่อนบ้านของไทย-เมียนมา ได้ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไป ว่าพรรคสันนิบาตประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี พรรคของพลเรือน ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ต่อเนื่องจากเมื่อปี 2558 ที่เคยชนะถล่มทลาย
แม้ว่ารัฐธรรมนูญของเมียนมายังกำหนดสัดส่วนให้กองทัพทรงอิทธิพลทางการเมืองอยู่ แต่การเลือกตั้งยังเป็นวิธีที่เปิดช่องให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วม
และถึงแม้ระบอบประชาธิปไตยเมียนมายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนตัวผู้นำได้เหมือนการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา แต่อย่างน้อยการเลือกตั้ง 2563 ก็แสดงให้เห็นว่าชาวเมียนมาเลือกตัวแทนจากพลเรือนเข้าไปสานต่องานในสภาได้
ไม่ใช่การหยุดประเทศด้วยรัฐประหารหรือชัตดาวน์

 

ข้อเรียกร้องให้ทหารหรือฝ่ายมีอำนาจใช้อำนาจพิเศษ แม้จะเลี่ยงคำว่ารัฐประหารก็ถือเป็นเรื่องหยามหมิ่นประชาชนอย่างรับไม่ได้

สะท้อนถึงความคลั่งไคล้ในอำนาจนิยมอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีสติปัญญา และด้อยพัฒนา

นอกจากมองไม่เห็นบทเรียนในอดีต ยังมองปัจจุบันและอนาคตด้วยความมืดบอด เห็นแก่ตัว และไม่มีความรับผิดชอบ

แม้ระบอบประชาธิปไตยจะเปิดโอกาสให้คนทุกคนและทุกกลุ่มแสดงความเห็นได้อย่างเสรี แต่ผู้แสดงออกควรต้องมีวุฒิภาวะและสติปัญญาพอ ต้องศึกษาหาข้อมูลความเป็นไปของโลกภายนอก ของเพื่อนบ้าน ของเพื่อนมนุษย์

มิใช่ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางยึดความได้เปรียบ ชิงผลประโยชน์จากผู้อื่นด้วยวิธียึดอำนาจ

 

การใช้อำนาจพิเศษโดยคนกลุ่มเดียวเพื่อกดคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่เป็นที่ยอมรับในโลกสากล

การที่กองทัพเมียนมายอมถอยไปจังหวะหนึ่งเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกตั้งได้ เป็นคำตอบหนึ่งในเรื่องนี้

แม้ทุกวันนี้เมียนมายังมีปัญหาด้านชาติพันธุ์ ปัญหาเศรษฐกิจ-ความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และยังแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่โอกาสที่จะกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารแบบเดิมเป็นไปได้ยาก เพราะรู้ว่าโลกไม่ยอมรับ

เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทุกคนต้องคิดได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน