โควิดระลอก3-บทเรียนรัฐบาล : รายงานพิเศษ

โควิดระลอก3 – การแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ หรือระลอก 3 ที่คลัสเตอร์มาจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ได้ขยายวงกว้างไปทุกวงการ

โดยเฉพาะรอบนี้มีรัฐมนตรี ทีมงาน และข้าราชการระดับสูงกลายมาเป็นผู้ติดเชื้อเสียเอง

นำมาสู่การออกมาตรการควบคุมสถานบริการ เข้มการเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงสงกรานต์

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการบริหารจัดการของรัฐบาล

นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ

ส.ส.เชียงราย พรรคก้าวไกล

การบริหารจัดการโควิด-19 ของรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมาเป็นไปรูปแบบเดิม ไม่ได้เรียนรู้ข้อมูลวิชาการที่มีเพิ่มขึ้น อีกเรื่องที่มีปัญหา คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เมื่อมีข้อมูลมากขึ้นก็ควรจะทำให้ประชาชนมีช่องทางทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ล่าสุดมีประกาศปิดสถานบริการ ให้กักตัว จำกัดการเดินทางอีกแล้ว ทั้งๆ ที่หลายภาคส่วนรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น

ผมพูดตลอดว่าผู้ต้องรับผิดชอบจริง คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เนื่องจากคำสั่งแรกในการจัดการโควิดคือประกาศจัดตั้ง ศบค. ตัวแทนสาธารณสุขเป็นเพียงส่วนเล็ก ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานความมั่นคง มาตรการต่างๆ จึงเป็นมาตรการที่เกี่ยวกับความมั่นคง เห็นโควิดเป็นอริราชศัตรูต้องใช้ทุกอย่างทำลายให้หมดสิ้นไป

แต่มันเป็นโรคระบาด ดังนั้น การระบาดระลอก 2, 3, 4, 5 ต้องมีอยู่แล้วจนกว่าจะจัดการได้ ไม่ว่าด้วยวัคซีนหรือยาอื่นๆ เมื่อ ศบค.ไม่เปลี่ยนแนวทางจัดการ จึงเห็นการทำงานที่ต้องการให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งมันฝืนธรรมชาติ

หลักการที่ควรจะเป็นคือต้องอยู่กับโควิดให้ได้ ต้องเปลี่ยนแนวทางการรับมือ ให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิดไม่เกินศักยภาพของระบบสาธารณสุข และไม่ให้คนที่เป็น กลุ่มเสี่ยงมีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ มีผู้ติดเชื้อได้บ้างแต่ไม่เป็นผู้มีความเสี่ยงสูง และสามารถเปิดเศรษฐกิจได้

การระบาดวันนี้เรียกว่าเป็นระลอก 3 แล้ว เพราะเมื่อมีการระบาดและมีผู้ติดเชื้อในประเทศแต่ไม่สามารถหาความเชื่อมโยงระหว่างเคสได้ ไม่รู้ว่าติดจากที่ไหนหรือจากใคร แต่บอกได้ว่าเราไปสถานที่ที่อาจมีความเสี่ยง และมีจำนวนเคสที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ

สิ่งที่รัฐบาลพลาดคือการสื่อสารกับประชาชน การสื่อสารส่วนใหญ่ไม่ถูกหลักการทางด้านระบาดวิทยา ต้องให้ข้อมูลจริงที่ตรงไปตรงมา ข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับการยืนยันแล้ว ไม่มีการให้ความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น

จากคำสัมภาษณ์ของนายกฯ หรือการแถลงข่าวของ ศบค.หลายๆ ครั้งมีลักษณะโทษประชาชน ไม่ควรมีใครที่ได้รับเชื้อถูกทำให้มีบาดแผลทางใจ ซึ่งเป็นบทเรียนของรัฐบาลว่าคนที่ติดเชื้อไม่ใช่ผู้ร้ายแต่ต้องรักษาและดูแล นี่คือสิ่งที่ควรสื่อสารมากกว่า

ส่วนตัวเห็นด้วยกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดประเทศ เมื่อมีการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุมประมาณหนึ่งแล้ว ต้องมีการทำสัญญา หากประชากรของทั้ง 2 ประเทศได้รับวัคซีนและมีอัตราการติดเชื้อต่ำพอๆ กัน สามารถไปมาหาสู่กันได้ โดยมีขั้นตอน เช่น ตรวจคัดกรองที่สนามบิน หรือมีใบรับรองแพทย์ เพราะหากรอให้ทั่วโลกประกาศว่าโรคหยุดระบาดแล้ว เราจะเปิดประเทศช้ากว่าคนอื่น

การติดตามผ่าน กมธ.สาธารณสุข ข้อมูลแผนวัคซีน ณ ปัจจุบัน เทียบกับเมื่อ พ.ย.63 เข้าใจว่ามีการปรับและเพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายและจำนวนโดสวัคซีนมากพอสมควร ปัญหาคือ แผนเริ่มต้นฉีดวัคซีนจะเริ่มฉีด มิ.ย. คงเกี่ยวข้องกับการเตรียมการผลิตวัคซีนในประเทศด้วย ทำให้ไทยไม่สามารถเร่งฉีดวัคซีนช่วงต้นปีได้เหมือนประเทศอื่น ที่ฉีดกัน วันนี้เป็นวัคซีนที่ซื้อจากต่างประเทศตามแผนใหม่ที่ปรับเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม แม้จะฉีดวัคซีนเร็ว เช่น 1 ล้านโดสต่อเดือน แต่ยังไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกันอยู่ดี เทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ใช้เวลา 1 ปีในการฉีดวัคซีน ไทยเป็นประเทศกลางๆ ที่เริ่มฉีด เมื่อประเทศใหญ่ๆได้ฉีดแล้วไทยก็ทยอยฉีดตาม ใช้เวลา 8-12 เดือน องค์การอนามัยโลกถึงประกาศว่ายุติการระบาดได้แล้ว

ฉะนั้น หากถามว่าฉีดวัคซีนเร็วกว่านี้จะช่วยยับยั้งการระบาดได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ว่าวัคซีนมีศักยภาพสร้างภูมิคุ้มกันหรือไม่มากกว่า

คิดว่าระบบสาธารณสุขของเรารับมือไหวเพราะมีอุปกรณ์และคนหน้างานเพียงพอ แต่สิ่งที่กังวล คือ ระบบสาธารณสุขของ กทม. เนื่องจากไม่เหมือนต่างจังหวัด ที่มีกระทรวงสาธารณสุขดูแลผ่านสำนักงานปลัดกระทรวง ผ่านไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ก่อนส่งไปดูแลที่โรงพยาบาล

ขณะที่พื้นที่กรุงเทพมีกทม. เป็นผู้ดูแลเอง ที่ผ่านมาเห็นความพยายามการคัดกรองทำได้ดี ถ้าเร่งคัดกรองแล้วแยกคนที่ติดเชื้อออกมาได้เร็วเท่าไรก็จะทำให้การระบาดหยุดเร็วเท่านั้น

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช

อดีตรองนายกฯ และแกนนำกลุ่มแคร์

การระบาดของโควิด-19 ช่วง 5-6 เดือนแรก ความไม่รู้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก การบริหารจัดการของภาครัฐก็ยังมีปัญหา ทั้งเรื่องยารักษา การให้การรักษาและการสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อ

แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยเฉพาะเรื่องตัวโรค แม้จะมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นแต่อัตราการป่วยและอัตราการตายถือว่าน้อยลง ขณะที่ความรู้เรื่องเชื้อโควิด-19 วิธีการระบาด แนวทางการรักษาเริ่มดีขึ้น ภาคประชาชนตื่นตัวในการดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง ก็ช่วยลดจำนวนการติดเชื้อลง

แต่น่าเสียดายที่มาตรการในการดูแลการแพร่ระบาดของรัฐบาลกลับหย่อนยานเสียเอง โดยเฉพาะกรณีการแพร่ระบาดในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่แบบย่อหย่อนทำให้เกิดการแพร่ระบาดโดยไม่จำเป็น

ดังนั้น การจัดการที่เข้มงวดของภาครัฐเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องยิงศรให้ตรงเป้า ไม่ใช่ทำแบบเหวี่ยงแห แทนที่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ร้านค้า ร้านอาหารจะเปิดให้บริการเพิ่มรายได้ แต่อาจต้องปิดร้าน เพราะมีต้นเหตุมาจากการระบาดของกลุ่มสถานบันเทิง มาตรการต่อการเดินทางออกต่างจังหวัดก็ยังไม่ชัดเจน เช่น คนที่อยู่กทม. หากไป จ.อุดรฯ หรือบุรีรัมย์ ต้องถูกกักตัวหรือไม่ เหล่านี้ต้องสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ให้ประชาชน

แต่วันนี้ ศบค.ทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ มีผอ.ศูนย์มาจากฝ่ายความมั่นคง แทนที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรค ทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ บางทีดูแปลกๆ

การจัดหาวัคซีนก็ถือว่าล่าช้า ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเรารอความพร้อมของวัคซีนที่ภาครัฐจัดหา ขณะที่ปัจจุบันวัคซีนมีหลากหลายประเภท ภาครัฐควรเปิดกว้างในการจัดหาวัคซีนเพราะเชื้อมีการกลายพันธุ์ แต่วันนี้กลับต้องผูกขาดอยู่กับวัคซีนเพียงแค่สองเจ้า ขณะที่ต่างประเทศรับวัคซีนจากหลากหลายเจ้า

รัฐบาลต้องเปิดเสรีและจัดซื้อวัคซีนให้ได้มากที่สุด ให้บริการฉีดให้ประชาชนให้ได้เร็วที่สุด ระดมฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง อย่างเช่นผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มสถานบริการ เพื่อกำจัดวงการแพร่ระบาดของเชื้อให้แคบที่สุด

หรือกรณี กลุ่มแคร์เคยเสนอให้เปิด จ.ภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนให้คนภูเก็ต สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว เหล่านี้ถือเป็นหลักประกันสุขภาพและเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจ

การจัดทำชุดตรวจโควิดแบบรวดเร็ว (rapid test) ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ขณะนี้มีหลายหน่วยงานสามารถจัดทำชุดตรวจดังกล่าวได้ ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมหรือให้การสนับสนุนงบประมาณกับหน่วยงานนั้นๆ เพื่อทำให้ชุดตรวจมีราคาที่ถูกลง นอกจากนี้ รัฐควรมีศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน

วันนี้จุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเลยคือเจ้าหน้าที่ของรัฐติดเชื้อโควิด-19 เสียเองแตั้งแต่รัฐมนตรีลงมา หากเป็นการติดเชื้อเพราะการทำงาน ถือเป็นเรื่องน่าสรรเสริญ แต่พวกท่านติดเชื้อเพราะหย่อนมาตรการในการปฏิบัติเพื่อดูแลตัวเอง ผู้บริหารที่ดีต้องแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผ่อนปรนเพื่อพรรคพวกตัวเอง

ที่นายกฯ ระบุว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนั้น ผมกลับมองว่าอะไรที่ไม่ควรเกิดแล้วทำให้เกิด ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย และท่านต้องแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าการระบาดในสถานบันเทิงย่านทองหล่อไม่ต่างจากรอบที่ระบาดในสนามมวยลุมพินี

ส่วนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนั้น ต้องดูก่อนว่ารัฐสามารถจัดการกับปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลแก้ปัญหาแบบวัวหายล้อมคอก ก็ยังพอต้อนวัวเข้าคอกได้ทัน ครั้งนี้การบริหารจัดการต้องใช้คนรู้จริง เปิดใจรับฟัง ประสานความร่วมมือแก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ

อนุสรณ์ ธรรมใจ

อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต

การบริหารจัดการเรื่องนี้ของรัฐบาล ภาพรวมยังไม่มีความสมดุลระหว่างผลกระทบทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ดีมากนัก แต่ระบบสาธารณสุขและความร่วมมือของประชาชนค่อนข้างดีมาก

ปัญหาการติดเชื้อและการแพร่กระจายเป็นกลุ่มก้อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระลอกแรก ระลอกสอง ระลอกสาม ล้วนสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของการบังคับใช้กฎหมาย ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอีกด้วย

ทุกๆ ครั้งจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาผิดกฎหมาย ไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย และมีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่มักก่อปัญหา ทำให้คนทั้งสังคมและเศรษฐกิจทั้งหมดเดือดร้อน การ กระทำเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ

การติดเชื้อในสนามมวยก็ดี บ่อนก็ดี ผับ เลานจ์ค้าบริการทางเพศก็ดี ล้วนเป็นแหล่งอโคจร และยังเกี่ยวพันกับแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายไม่เป็นตามเกณฑ์สาธารณสุข

หลายกรณีล้วนเกี่ยวกับการติดสินบน การทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะกระทบกับเศรษฐกิจและประชาชนจำนวนมาก

การระบาดระลอก 3 เชื้อที่แพร่ยังเป็นเชื้อกลายพันธุ์จากอังกฤษอีก ประกอบกับการฉีดวัคซีนค่อนข้างล่าช้า ขณะนี้เรายังฉีดวัคซีนไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น การเปิดประเทศต้องดำเนินงานอย่างระมัดระวังตามมาตรฐานสาธารณสุข

ส่วนที่มีรัฐมนตรีติดโควิด จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือในการแก้ปัญหาของรัฐบาลหรือไม่อยู่ที่ว่ารัฐมนตรีติดเชื้อจากไหน หากติดเชื้อจากการลงพื้นที่ทำงานช่วยเหลือประชาชน หรือจากสถานที่ทำงานก็ไม่มีปัญหา ไม่มีใครว่าอะไรและชื่นชมเห็นใจด้วย อย่างกรณีของผู้ว่าฯ สมุทรสาครเป็นตัวอย่าง

หากผิดพลาดไปติดเชื้อในสถานบันเทิง ทั้งที่พร่ำบอกประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ความน่าเชื่อถือลดลง แต่จะยิ่งแย่ลงหากผู้มีอำนาจรัฐพูดโกหกกับประชาชน ความน่าเชื่อถือจะยิ่งตกต่ำลงไปอีก ความจริงจะทำให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น ไม่สร้างความซับซ้อนและลุกลามใหญ่โต การยึดสัจจะ ยึดความจริงจะแก้ปัญหาได้ดีขึ้น

หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้และมีแนวโน้มลุกลามต้องฉีดวัคซีนประชาชนให้มากกว่านี้อย่างน้อย 60-70 เปอร์เซ็นต์ จึงค่อยเปิดประเทศ และควรเปิดเสรีการนำเข้าวัคซีน และให้โรงพยาบาลเอกชนมีบทบาทเพิ่มขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง

ทั้งนี้ การดูแลตัวเองถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะการป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อ เป็น positive externalities ที่จะมีผลต่อคนอื่นๆ สังคมและเศรษฐกิจ

ส่วนรัฐบาลต้องแก้ปัญหาโดยรักษาสมดุลให้ดีระหว่างปัญหาสาธารณสุขกับเศรษฐกิจ ต้องแก้การแพร่ระบาดให้ได้ก่อน ถ้าเปิดแล้วกลับมาล็อกดาวน์อีก แบบนั้นอัตราขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้อาจไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน