คอลัมน์ ใบตองแห้ง

เลือกตั้ง 40 พปชร.ได้เปรียบ – พรรคพลังประชารัฐเสนอแก้รัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา โดยไม่แตะอำนาจ 250 ส.ว.โหวตนายกฯ ปมสำคัญคือแก้ระบบเลือกตั้งให้กลับไปคล้ายรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งพรรคใหญ่ได้เปรียบ

อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ว่า เตรียมไว้เผื่อยุบสภา ให้ 250 ส.ว.โหวตตู่กลับมาอีกครั้ง พร้อมปูทางกวาด ส.ส.มากขึ้น

ระบบเลือกตั้ง 40 ยังสำคัญผิดในฝ่ายประชาธิปไตยว่า “ดีที่สุด” แต่ความจริงเป็นระบบที่พรรคใหญ่ได้เปรียบ เมื่อเทียบกับระบบสัดส่วนผสม “แบบเยอรมัน” ซึ่งดีกว่า แต่ถูก กรธ.มีชัยเอามาปู้ยี่ปู้ยำเป็นบัตรใบเดียว ต่างเขตต่างเบอร์ แถมสูตรคำนวณเศษมนุษย์ จนวิปริตผิดเพี้ยน

ไพบูลย์ นิติตะวัน เสนอให้ใช้บัตรสองใบ ส.ส.เขต 400 คน ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน พรรคการเมืองต้องส่งสมัครไม่ต่ำกว่า 100 เขต พรรคไหนได้คะแนนน้อยกว่า 1% ตัดทิ้ง

ฟังแล้วหัวร่องอหาย พรรคน้อมนำฯ ได้ 45,420 คะแนน 0.12% เท่านั้น ยุบพรรคตัวเองมาอยู่พลังประชารัฐ กลับเสนอให้ตัดพรรคเล็กเสียได้ ก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่ย้อนแย้งกับปากตัวเองเสียกระไร

ระบบเลือกตั้ง 40 ดีกว่าสูตรมีชัยแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ระบบที่สะท้อนความนิยมของประชาชนได้ตรงที่สุด ถ้าเทียบกับ “แบบเยอรมัน” ซึ่งอธิบายง่ายๆ ว่า คล้ายแบบมีชัยปี 62 นี่แหละ แต่ใช้บัตรสองใบ พรรคเดียวเบอร์เดียว ใบแรกเลือก ส.ส.เขต ได้แล้วได้เลย ใบที่สองเลือกพรรค เอามาคำนวณ ส.ส.ทั้งประเทศ (โดยตัดพรรคที่ได้เศษ หรือได้ไม่ถึง 1%) แล้วเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้จนครบ

ส่วนระบบ 40 เอาคะแนนพรรคมาคำนวณเฉพาะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ซึ่งพรรคที่ได้ ส.ส.เขตไปเยอะแล้วก็จะได้ซ้ำอีก

เปรียบเทียบง่ายๆ พรรค ก. ได้คะแนนนิยม 40% ได้ ส.ส.เขต 190 เขต ถ้าใช้แบบ 40 ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มอีก 40 คน เป็น 230 คน แต่ถ้าใช้แบบเยอรมัน 40% ได้ ส.ส. 200 คน ก็จะเพิ่มปาร์ตี้ลิสต์ให้ 10 คน

พรรค ข. ได้ 20% แต่เป็นพรรคทางเลือก ผู้สมัครไม่ใช่ “บ้านใหญ่” ได้ที่ 2 ที่ 3 เสียเป็นส่วนใหญ่ ได้ ส.ส.เขตแค่ 25 คน ถ้าใช้แบบ 40 ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม 20 คน รวมเป็น 45 คน แต่ถ้าใช้แบบเยอรมัน ประชาชนเลือก 20% ก็ต้องได้ ส.ส.100 คน เพิ่มให้ 75 คน

หรือถ้าลองเทียบหยาบๆ จากผลเลือกตั้ง 62 สมมติใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส.ส.เขต 350 คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน โดยไม่ใช้สูตรคำนวณเศษมนุษย์ ตัดพรรคที่ได้ต่ำกว่า 7.1 หมื่นคะแนนออก

ผลที่ออกมา “แบบเยอรมัน” จะเป็นดังนี้ พปชร. ได้คะแนนนิยม 23.6% ส.ส.พึงมี 118 คน ได้ ส.ส.เขต 97 คน ได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม 21 คน เพื่อไทยได้ 22% ส.ส.พึงมี 110 คน ได้ ส.ส.เขต 136 คน ไม่ได้เพิ่ม อนาคตใหม่ได้ 17.8% ส.ส.พึงมี 89 คน ได้ ส.ส.เขต 31 คน ได้เพิ่ม 58 คน ประชาธิปัตย์ได้ 11% ส.ส.พึงมี 55 คน ได้ ส.ส.เขต 33 คน ได้เพิ่ม 22 คน ภูมิใจไทยได้ 10.4% ส.ส.พึงมี 52 คน ได้ ส.ส.เขต 39 คน ได้เพิ่ม 13 คน เสรีรวมไทยได้ 2.3% ส.ส.พึงมี 11 คน ไม่ได้ ส.ส.เขตเลย ได้เพิ่ม 11 คน ฯลฯ

โดยผลจากที่เพื่อไทยได้เกินต้องไปลดพรรคอื่นก็อาจเป็น พปชร. 20 คน อนาคตใหม่ 54 คน ประชาธิปัตย์ 21 คน

แต่ถ้าใช้ระบบ 40 เอาคะแนนพรรคไปคำนวณเพิ่ม ส.ส.จากปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน ผลจะออกมาอีกอย่าง พปชร.ได้ ส.ส.เขต 97 คน+ปาร์ตี้ลิสต์ 35 คน เพื่อไทย 136+ปาร์ตี้ลิสต์ 33 คน อนาคตใหม่ 31+ปาร์ตี้ลิสต์ 27 คน ปชป. 33+ปาร์ตี้ลิสต์ 16 คน ภูมิใจไทย 39+ปาร์ตี้ลิสต์ 15 คน

เสรีรวมไทยจะเหลือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 3 คน เศรษฐกิจใหม่ เพื่อชาติ รวมพลังประชาชาติไทย เหลือพรรคละ 1 คน ถ้าใช้สูตรไม่ถึง 1% ตัดทิ้ง ชาติพัฒนา รวมพลังท้องถิ่นไทย รักษ์ผืนป่า ฯลฯ ถ้าไม่ได้ ส.ส.เขตก็สูญพันธุ์

บางคนอาจคิดไปอีกทางว่า เอ๊ะอย่างนี้เพื่อไทยมีโอกาส ชนะล้นหลามแล้วยังได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม บัตรสองใบก็สามารถชูสโลแกน “เลือกเพื่อไทยไว้ก่อน”

แต่เลือกตั้งครั้งหน้าอาจไม่เป็นอย่างนั้น ภายใต้กติกา 250 ส.ว.โหวตนายกฯ “รัฐธรรมนูญนี้ร่างมาเพื่อพวกเรา” โทนี่ วู้ดซัม ขายไอเดียสวยหรูแค่ไหน ฝ่ายตรงข้ามก็หัวร่อเย้ยหยัน ไม่มีทางได้เป็นรัฐบาล หัวคะแนน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แม้แต่หมู่บ้านเสื้อแดง จะเทไปทางพลังประชารัฐ ยังไม่พูดถึงการดูดส.ส. อาวุธ “กระสุน” อำนาจรัฐ ระบบอุปถัมภ์ที่แผ่ขยายจนชนะทุกเลือกตั้งซ่อม

แม้แต่ ปชป.ก็อาจแพ้ ส.ส.เขตมากขึ้น ต้องพึ่งปาร์ตี้ลิสต์ ก้าวไกล-เสรีรวมไทย หนักสุด เพราะ ส.ส.เขตแพ้บ้านใหญ่ ต้องอาศัยคะแนนนิยมวงกว้าง

อย่างไรก็ดี รธน.มีชัยพันธนาการตัวเองไว้ แก้วาระสามต้องให้ ส.ส.ฝ่ายค้านเห็นชอบ 20% ดังนั้น ถ้าก้าวไกล+เสรีรวมไทย ไม่โหวตให้ก็ไม่ผ่าน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน