คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ข้อมูลว่า อยู่ระหว่างรวบรวมปัจจัยที่ส่ง ผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ อัตราค่าเงินบาท ความต้องการใช้ไฟฟ้า
ตลอดจนปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐานที่ตั้งไว้ เพื่อประกอบการพิจารณาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2566 ให้มีความชัดเจนภายในเดือนมี.ค.นี้
จากเดิมรัฐบาลกำหนดนโยบายแบ่งอัตราค่าไฟฟ้าเป็น 2 กลุ่มในงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2566 คือกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยคิดอัตราเรียกเก็บเฉลี่ย 4.7176 บาทต่อหน่วย และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่บ้านอยู่อาศัย 5.3325 บาทต่อหน่วย
ดังนั้น หากสมมติฐานต่างๆ ดังข้างต้นที่ กกพ.ระบุไม่เปลี่ยนแปลง จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าครัวเรือนงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. ขึ้นเป็น 5.2407 บาทต่อหน่วย
การที่ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ธุรกิจค้าขาย ตลอดจนภาค ครัวเรือน ค่าครองชีพสูง รายจ่ายเพิ่มขึ้น กระทบต่อรายได้หดหายไปด้วย
อีกสัญญาณจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ระบุภาพรวมการค้าปลีกอยู่ในช่วงฟื้นตัวไม่เท่ากัน หรือขาดสมดุล อีกทั้งต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง หนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งเป็นตัวฉุดการบริโภค ตลอดจนราคาพลังงานสูงขึ้น
จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. มีแนวโน้มลดลง จากปัจจัยดังกล่าวต่างๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทยอยหมดลง จึงเห็นว่าการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต้องตรงเป้า เน้นเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภคฐานรากอ่อนแอ กระตุ้นการจับจ่าย
ผู้ค้าปลีกไทยคาดว่ารายได้จะกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดในปี 2567
ดังที่ประชาชนส่วนใหญ่ทราบกันดี และต่างเผชิญกันถ้วนหน้า รัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อ 8 ปีก่อน เสมือนเป็นสารตั้งต้นนำมาซึ่งความล้มเหลวแทบทุกด้านของประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ซบเซามาจนถึงทุกวันนี้
เนื่องจากได้นักการทหารเป็นผู้บริหารประเทศ แทนที่จะเป็นนักเศรษฐกิจ หรือนักบริหารที่มี ความรอบรู้เท่าทันโลก และยังต่อเนื่องมาถึงหลังการเลือกตั้ง 2562
ตลอด 4 ปี ภายใต้การบริหารประเทศด้วยกลไกสืบทอด และเครือข่ายอำนาจทางการเมืองกลุ่มเดิม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ค่าครองชีพสูง สินค้าหลายประเภทราคาสูงมากเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มซึมยาวตลอดปีนี้ ดังที่หลายฝายคาดการณ์
ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจนี้จะเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการเลือกตั้ง 2566 และประชาชนสามารถ ร่วมกันเปลี่ยนแปลงได้ผ่านคูหาลงคะแนน
