ภรรยานายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชาวบ้านชาติพันธุ์บางกลอย-ใจแผ่นดิน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ถูกอุ้มฆ่าเสียชีวิต ยื่นเรื่องถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ช่วยคุ้มครองพยานต่อไปด้วย
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางไปพบภรรยานายบิลลี่ แจ้งว่าจะสิ้นสุดการดูแลและคุ้มครองพยาน โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เป็นพยานปากสำคัญในคดีฆาตกรรมนายบิลลี่แล้ว
แต่ฝ่ายพยานกลับเห็นว่าในฐานะที่เป็นโจทก์ร่วมฟ้องด้วย ทำให้ต้องเดินทางไปฟังการพิจารณาคดีในชั้นศาล และยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่ท่ามกลางความหวาดกลัว
ประการสำคัญคือฝ่ายจำเลยทั้ง 4 คนยังรับราชการตามปกติ ทั้งยังมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตขึ้นด้วย จึงเกิดความหวั่นเกรง
ขณะนี้คดีการหายตัวไปของนายบิลลี่ล่วงมานานถึง 9 ปี และนำไปสู่การฟ้องร้องคดีฆาตกรรม อยู่ในการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
เนื่องจากฝ่ายจำเลยเป็นข้าราชการ 4 คน ประกอบด้วยอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 3 คน
ศาลกำหนดไต่สวนพยานโจทก์และจำเลยทั้งหมด 10 นัด แบ่งเป็นพยานโจทก์ 23 ปาก และพยานจำเลย 9 ปาก ล่าสุดเหลือการไต่สวนอีก 8 นัด จะไปสิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค.2566
แต่ถ้าไต่สวนพยานครบแล้วยังเห็นว่ามีความจำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลพิจารณา ก่อนจะมีคำพิพากษาต่อไป
คดีฆาตกรรมนายบิลลี่ แกนนำเรียกร้องสิทธิชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย ไม่ใช่แค่ความโกรธแค้นบาดหมางเฉพาะตัวส่วนบุคคล แต่เป็นผลต่อเนื่องจากการบังคับขับไล่ชาวบ้านหลายร้อยคนออกจากผืนป่า
ซึ่งบริเวณที่เป็นสถานที่พักอาศัย และแหล่งทำกินปลูกพืชไร่หมุนเวียนของชาวบ้านนั้น เป็นถิ่นฐานดั้งเดิมก่อนทางการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ปัจจุบันกลุ่มชาวบ้านบางกลอย รวมถึงครอบครัวนายบิลลี่ยังได้รับความเดือดร้อน เพราะปัญหาที่ดินทำกิน โดยเฉพาะความต้องการกลับไปถิ่นอาศัยดั้งเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและยั่งยืน
เช่นเดียวกับคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ที่ยังรอคอยความยุติธรรม และการคุ้มครองพยานต่อไปจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด