หลังพรรคก้าวไกล เปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจาก 8 พรรคการเมืองขั้วเดิมรวมกัน 312 เสียงไม่ผ่านความชอบของรัฐสภา
จากนั้น พรรคเพื่อไทยได้ติดต่อทาบทามพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดจนสมาชิกวุฒิสภาขอเสียงสนับสนุนให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาให้จงได้
ปรากฏว่าทุกพรรคการเมืองเหล่านั้น และสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ต่างก็มีเงื่อนไขบางประการว่าจะไม่ร่วมงานและไม่สนับสนุน ถ้าหากยังมีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ด้วย
ทำให้การเมืองในระบบรัฐสภาติดขัดเดินต่อไปไม่ได้อีก และจะเกิดภาวะสุญญากาศตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
แต่การจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นทางการจะต้องรีบทำให้เร็ว เนื่องจากประเทศชาติจะขาดผู้บริหารไม่ได้ ปัญหาต่างๆ ของประชาชนจะต้องมีนโยบายเข้าไปแก้ไข
เพื่อให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว พรรคเพื่อไทยจึงประกาศจับมือกับพรรคภูมิใจไทยเป็นสารตั้งต้นตั้งรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางความไม่พึงพอใจของประชาชนบางส่วน
จากนั้นก็ทยอยเปิดตัวพรรคร่วมรัฐบาลจากพรรคขนาดเล็กที่มีเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 1-10 เสียงก่อน แต่ก็ยังไม่เพียงพอเกินกึ่งหนึ่ง
หลายฝ่ายจึงเสนอขอให้พรรคก้าวไกลที่มีเสียงมากเป็นอันดับหนึ่งช่วยโหวตให้อีกทาง จะได้ไม่ต้องพึ่งพาพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงอันดับ 3 และ 4 แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
ขณะเดียวกัน การเมืองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพรรคพลังประชารัฐประกาศโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยโดยระบุว่าไม่มีเงื่อนไข
ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีท่าทีจะสนับสนุนด้วยเช่นกัน จึงทำให้มีเสียงในสภารวมกันทั้งสิ้น 315 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ก็มีท่าทีเห็นชอบ
สมการการเมืองในขณะนี้ พอจะเห็นเค้าลางความเป็นไปได้ มีความสำเร็จค่อนข้างมากที่จะมีรัฐบาล แต่ไม่อาจถูกใจประชาชนไปเสียทั้งหมด ซึ่งรัฐสภาจะต้องแบกรับไป
บ้างก็ว่าสูตรที่ออกมาเช่นนี้ คือรัฐบาลพิเศษที่สลายขั้วความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคม ซึ่งทุกฝ่ายต้องมีความตั้งใจจริง ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง และร่วมกันสร้างกติกาใหม่ที่ยึดโยงกับทุกภาคส่วนให้ได้