ภาคเอกชนตอบรับเชิงบวกหลังรัฐสภามีมติเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

ด้วยเชื่อมั่นว่าการที่นายเศรษฐา มาจากภาคธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จะมีความเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งการที่พรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์ซ่อมสร้าง ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ สร้างผลงานระดับตำนานทุกครั้งที่เป็นรัฐบาล

หลังพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม นายกรัฐมนตรีคนใหม่แถลงให้สัญญากับประชาชน ยืนยันจะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

มั่นใจว่า 4 ปีต่อจากนี้จะเป็น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผู้คร่ำหวอดวงการเศรษฐกิจชี้ว่า โจทย์ใหญ่ในการรับมือปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ข้อแรกคือ เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ซึ่งนำมาสู่ข้อเสนอเร่งด่วนต้องการให้รัฐบาลเร่งทำทันทีใน 100 วันแรก

คือแก้ปัญหาปากท้องผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพประชาชน ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงต้นทุนภาคเอกชน ที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและการส่งออก การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ

เร่งส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวต้อนรับไฮซีซั่นที่ใกล้มาถึง อำนวยความสะดวกการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยว การเพิ่มเที่ยวบิน เร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อ จัดทำงบปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ แบบไร้รอยต่อ

นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมภาคเอกชนต้องการให้มีรัฐบาลใหม่ที่สมบูรณ์โดยเร็ว








Advertisement

เมื่อได้นายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย ที่ต้องจับตาต่อไปคือการจัดวางคนเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ คลัง เกษตรฯ พาณิชย์ อุตสาหกรรม คมนาคม พลังงาน รวมถึงดิจิทัลฯ ต่างประเทศ ท่องเที่ยวและกีฬา

ไม่ใช่แค่ภาคเอกชน ยังรวมถึงประชาชนทั่วไป ต่างคาดหวังเมื่อได้ผู้นำรัฐบาลซึ่งมีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจ เป็นที่ยอมรับของสังคม ก็น่าจะได้รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจที่ดีเช่นกัน

ด้วยข้อจำกัดการเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค อาจไม่ถึงขั้นเป็น “ดรีมทีม” แต่ก็ไม่ควรขี้เหร่เกินไป

ที่สำคัญต้องไม่มีประวัติน่าเคลือบแคลง ยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่เช่นนั้น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง อาจไม่เป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน