สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เผยแพร่สถิติเปรียบเทียบการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้อง สำนวน การวินิจฉัย และการดำเนินคดี ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปปี 2562 และ 2566
การเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พบมีคำร้อง ความปรากฏ ข้อมูลเบาะแส จำนวน 592 เรื่อง แบ่งเป็น คำร้อง 497 เรื่อง ความปรากฏ 78 เรื่อง ข้อมูลเบาะแส 17 เรื่อง ดำเนินการเสร็จหมดทั้ง 592 เรื่องแล้ว
แยกเป็นการพิจารณาคำร้อง 307 เรื่อง สั่งไม่รับ 289 เรื่อง สั่งยุติเรื่อง 15 เรื่อง ดำเนินคดีอาญา 3 เรื่อง ส่วนการวินิจฉัยชี้ขาด 285 สำนวน พบว่า ยกคำร้อง 262 สำนวน ระงับสิทธิ 1 สำนวน ดำเนินคดีอาญา 20 สำนวน ยื่นคำร้องต่อศาล 2 สำนวน
ขณะที่การเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พบว่า มีคำร้อง ความปรากฏ ข้อมูลเบาะแส จำนวน 365 เรื่อง แบ่งเป็น คำร้อง 283 เรื่อง ความปรากฏ 41 เรื่อง ข้อมูลเบาะแส 41 เรื่อง ดำเนินการเสร็จแล้ว 288 เรื่อง
แยกเป็น การพิจารณาคำร้อง 240 เรื่อง สั่งไม่รับ 159 เรื่อง สั่งยุติเรื่อง 81 เรื่อง ยังไม่มีเรื่องส่งดำเนินคดีอาญา ส่วนการวินิจฉัยชี้ขาด 48 สำนวน ยกคำร้อง 43 สำนวน ดำเนินคดีอาญา 3 สำนวน ยื่นคำร้องต่อศาล 2 สำนวน และอยู่ระหว่างดำเนินการ 77 เรื่อง
จากสถิติดังกล่าว พบว่าเรื่องร้องเรียน คำร้อง หรือการกระทำฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ในการเลือกตั้งปี 2566 มีจำนวนลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากการเลือกตั้งปี 2562
ส่วนหนึ่งยังสะท้อนว่าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้ความสำคัญกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองและพรรคการเมือง มากกว่าผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น
ผลเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส.มากที่สุด พรรคเพื่อไทยได้รองลงมา แต่พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โอกาสจึงตกอยู่กับพรรคเพื่อไทย ก่อนที่สมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่จะโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้ง นายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย หาเสียงชูโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล ประกอบนโยบายอื่นๆ ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน
การที่รัฐบาลเศรษฐายืนยันเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ไปสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นการหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ส่วนสำคัญกว่าคือเป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองควรยึดถือปฏิบัติ และให้ความสำคัญเหนือกว่าสัญญาอื่นใดในทางการเมือง
