ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5 มีสัญญาณบ่งชี้จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวต่อเนื่องฤดูร้อน
ด้วยสภาพอากาศแห้งแล้ง ไม่มีความชุ่มชื้น เอื้ออำนวยเกิดไฟป่า ควันจากท่อไอเสียยานพาหนะที่มากขึ้น รวมถึงการเผาพื้นที่ทางการเกษตรเพื่อตระเตรียมเพาะปลูกฤดูฝน ล้วนเป็นปัจจัยทำให้ฝุ่นพิษรุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะขณะนี้ที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล กำลังเผชิญปัญหาฝุ่นพิษรุนแรง จากการตรวจวัดในหลายพื้นที่พบมีค่าเกินมาตรฐานในระดับสีแดง มีผลกระทบต่อสุขภาพ
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีถึงกับต้องลงพื้นที่กำชับกวดขันมาตรการป้องกันและแก้ปัญหา
รัฐบาลระบุว่าสาเหตุที่ทำให้ค่าฝุ่นสูงขึ้นมากขณะนี้ เกิดจากความกดอากาศต่ำ และสภาพอากาศนิ่ง ส่งผลให้ฝุ่นจากแหล่งกำเนิดไม่สามารถระบายได้ และถูกกดทับอยู่ในแต่ละพื้นที่
จากการคาดการณ์ของกรมควบคุมมลพิษ สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นช่วงวันที่ 17 ธ.ค. เนื่องจากจะมีลมพัดแรงขึ้นช่วยให้อากาศระบายฝุ่นที่สะสมและพัดออกจากพื้นที่
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ล่าสุดคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สาระสำคัญคือ แก้ปัญหาเชิงรุก ครอบคลุมทุกมิติ บริหารจัดการอากาศสะอาด ป้องกันและแก้ปัญหามลพิษทางอากาศให้ลดลงและหมดไป
ขณะเดียวกันจากการลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ฝุ่นกรุงเทพฯ นายกฯ เน้นย้ำถึงการฉีดน้ำ การตรวจสภาพรถยนต์ การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ให้มากขึ้น และควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับพื้นที่จังหวัดต่างๆ จะเพิ่มมาตรการควบคุมป้องกันและดับไฟป่า กำกับควบคุมการเผาพื้นที่ทางการเกษตร รวมถึงเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนขอความร่วมมือจากประชาชน
ฝุ่นพิษกลายเป็นปัญหาระดับชาติ เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูหนาว ฤดูร้อน ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก กทม. และปริมณฑล
นับเป็นครั้งแรกของรัฐบาลปัจจุบันที่จะพิสูจน์ฝีมือ เตรียมการป้องกันรับมือ และวางแผนแก้ปัญหาระยะยาวได้ดีกว่ารัฐบาลก่อนหรือไม่