FootNote:การต่อสู้ ใน “พลังประชารัฐ” เส้นทาง ปรับ “คณะรัฐมนตรี”
การปรากฏชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ อยู่ในสถานะที่จะได้รับการผลักดันให้เข้าดำรงตำแหน่ง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ
เร้าความสนใจเป็นอย่างสูงพลันที่ปรากฏชื่อของ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นคู่แข่งขัน
ด้านหนึ่ง เท่ากับสะท้อนบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยภายในพรรคพลังประชารัฐ ขณะเดียวกันด้านหนึ่งเท่ากับสะท้อนให้เห็นการดำรงอยู่ของมุ้งแต่ละมุ้งที่อยู่เบื้องหลัง
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าแรงผลักดันอันเป็นลมใต้ปีกในการรุนให้ นายไผ่ ลิกค์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ขณะที่แรงผลักดันอันเป็นลมใต้ปีกในการรุนให้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับการยืนยันว่ามาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
โดยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค โดยที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรค
นี่คือความแหลมคมในการช่วงชิงภายในพรรคพลังประชารัฐ
Advertisement
คำถามก็คือโอกาสที่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อันเป็นโควต้าของพรรคเพื่อไทย ว่างลงมาจากเงื่อนไขและปัจจัยใด
คำตอบอยู่ที่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างมากด้วยกัมมันตะ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ไม่เพียงเพราะการทำงานในห้วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไม่สามารถประสานและร่วมมือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคเพื่อไทย ได้โดยราบรื่น
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังแสดงให้เห็นถึงบทบาท และสายสัมพันธ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับภายในพรรคเพื่อไทย ก็เปี่ยมด้วยสันถวมิตรอันสนิทสนมยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะมองผ่าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ว่าจะมองผ่าน นายไผ่ ลิกค์ ล้วนเคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน
นี่คือรากฐานอันหนุนให้กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สูงยิ่ง
จากนี้จึงเห็นได้ว่าภายในการปรากฏชื่อ นายไผ่ ลิกค์ และชื่อ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ คือการสำแดงพลังในทางการเมือง
ระหว่างหัวหน้าพรรคกับเลขาธิการพรรคใน “พลังประชารัฐ”
ยืนยันว่าพลังและเยื่อใยอันพรรคเพื่อไทยมีต่อพรรคพลังประชารัฐ มาจากสัมพันธ์ที่มีต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือจากสัมพันธ์ที่มีต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
กระบวนท่าในการต่อสู้ช่วงชิงความได้เปรียบภายในพรรคพลังประชารัฐ จึงมากด้วยความแหลมคมเร้าใจยิ่ง
ไม่ว่ามองจาก “หัวหน้าพรรค” หรือมองจาก “เลขาธิการพรรค”
