FootNote กระแสคึก เลือก “ส.ว.” คึกคัก สะท้อน จุดพลิกผัน การเมือง
ปัจจัยอะไรที่เป็นจุดเร้าเย้ายวนใจอย่างยิ่งยวดให้การเลือก 200 สมาชิกวุฒิสภาใหม่ ไม่ว่าระดับอำเภอ ไม่ว่าระดับจังหวัด ไม่ว่าระ ดับประเทศ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน
นั่นก็คือ บทบาทและความหมายของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนมิติในทางการเมือง
แม้บทบาทในด้านนิติบัญญัติจะมิได้เป็นกระแสหลัก
เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นฝ่ายเริ่มต้น เป็นฝ่ายปฏิบัติการในลักษณะรุก ขณะที่วุฒิสภาอยู่ในจุดที่เป็นฝ่ายให้คำแนะนำ ตรวจสอบในลักษณะของพี่เลี้ยง
กระนั้น หากประเมินจากบทบาทในการพิจารณาลงมติเพื่อ เลือก “องค์กรอิสระ” ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นกกต. ไม่ว่าจะเป็นป.ป.ช. เป็นต้น ถือว่าสำคัญ
ยิ่งเมื่อย้อนไปพิจารณาสภาวะบิดเบี้ยวในทางการเมืองอัน เนื่องแต่บทบาทในการวินิจฉัยของแต่ละ “องค์กรอิสระ” ที่ผ่านมายิ่งตระหนักในความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม
นี่ย่อมเป็นผลและความต่อเนื่องจากรัฐประหารและจากกระบวนการสืบทอดอำนาจในทางการเมือง
คำถามก็คือจะเข้าไปตัดตอนและเปลี่ยนได้อย่างไร
ปมสำคัญที่ 200 สมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่จะเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดและเลือกสรรมีพื้นฐานมาจากสภาพความเป็นจริงของแต่ละ “องค์กรอิสระ” เป็นสำคัญ
ที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือการหมดวาระของแต่ละ “องค์กรอิสระ” ที่ต่อเนื่องมาจากยุคแห่ง “รัฐประหาร”
เพราะว่าภายในศาลรัฐธรรมนูญมีตุลาการต้องหมดวาระ 7 จาก 9 คน ในกกต.มีกรรมการต้องหมดวาระ 5 จาก 7 คน ในป.ป.ช.มีกรรมการต้องหมดวาระ 5 จาก 9 คน
ขณะเดียวกัน ระหว่างปี 2567 ถึงปี 2572 อันเป็นวาระดำรง ตำแหน่งของ 200 สมาชิกวุฒิสภา มีกรรมการกสม.หมดวาระ 6 จาก 7 คน ขณะที่กรรมการกสทช.จะหมดวาระทั้ง 7 คน
สังคมรับรู้อยู่เป็นอย่างดีว่านับแต่รัฐประหารเมื่อปี 2549 รัฐประหารเมื่อปี 2557 บทบาทของ “องค์กรอิสระ” เป็นอย่างไร
หากต้องการ “เปลี่ยน” ก็จำเป็นต้องเป็น “สมาชิกวุฒิสภา”
ภายใต้บรรยากาศแห่งการเรียกร้องให้เกิด “สว.ประชาชน” ขึ้นภายในกระบวนการเลือกอันสลับซับซ้อนและยุ่งยาก
มี 2 ปรากฏการณ์แสดงตัว 1 ต้องการเปิด 1 ต้องการปิด
ใครต้องการปิด ใครต้องการสกัดขัดขวางการเข้าไปมีส่วนร่วมของประชาชน กระทั่งมีความคิดที่จะล้มการเลือกสมาชิกวุฒิสภามิให้บังเกิด ย่อมเห็นและไม่หลุดรอดสายตาไปได้
คำถามต่อบทบาทของ “กตต.” ว่าจะเป็นไปอย่างยุติธรรมและมีความโปร่งใสเพียงใดจึงแหลมคมและร้อนแรง
