เกิดเสียงตอบรับจากภาคเศรษฐกิจ นักธุรกิจ ในเชิงบวก ต่อการปรับครม. “เศรษฐา 1/1” หลังมีพระบรมราชการโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา
โดยมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ “ป้ายแดง” 6 คน หนึ่งในนั้นได้รับการจับตามองมากที่สุด คือ นายพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งมีชื่อติดโผมาตั้งแต่แรกเริ่มว่าจะมาเป็น รมว.คลัง คนใหม่ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงตำแหน่งเดียว
นอกจากนี้ อีกหนึ่งรัฐมนตรีป้ายแดง ที่เข้ามาเสริมทัพกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.คลัง จากเดิมมีอยู่แล้ว 2 คน คือนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ
จากภาพที่ปรากฏ หากจะกล่าวว่ากระทรวงการคลังคือหัวใจสำคัญในการปรับ ครม.ครั้งนี้ ก็ไม่ผิดเท่าใดนัก
นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลังคนใหม่ ยังนั่งควบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี อีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งน่าจะหมายถึงการเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เศรษฐา 1/1
ซึ่งในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ภาคเอกชนนักธุรกิจ ต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียว ว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะตำแหน่ง รมว.คลัง ที่ทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น และมีเวลาดำเนินโครงการต่างๆ ได้เต็มที่
โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงมุมมองที่ว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ ถือเป็นจังหวะดีในช่วงเพิ่งผ่านงบประมาณปี 67 ทำให้รัฐบาลมีงบเดินหน้าโครงการต่างๆ ได้เต็มกำลัง ในช่วง 5 เดือนที่เหลือก่อนเข้าสู่งบปี 68
ช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้เพิ่มขึ้น เพราะก่อนหน้านี้นโยบายเต่างๆ ยังไม่สามารถทำได้มากนัก เพราะขาดงบประมาณ จากนี้ทุกอย่างน่าจะคล่องตัวมากขึ้น
การปรับ ครม.ครั้งนี้ ยังช่วยให้ รมว.คลัง ทำงานได้เต็มที่มากขึ้น ไม่ต้องแบ่งภาคกับงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่หนักอยู่แล้ว การมี รมช.คลัง ถึง 3 คนยังช่วยหนุนให้โครงการและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมองว่า ภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ ยังไม่ค่อยดีนัก
สิ่งที่คาดหวังเฉพาะหน้าในไตรมาสสอง ภาครัฐควรแบ่งงบเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เอสเอ็มอี และผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาลดภาระค่าครองชีพเร่งด่วน ก่อนดิจิทัลวอลเล็ต จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี
ปรับ ครม.ผ่านไปแล้ว แต่วิกฤตเศรษฐกิจยังเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่หนักหน่วง ท้าทาย “ขุนคลัง” คนใหม่อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องปากท้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ควรจะต้องทำให้คลี่คลายหรือสำเร็จลุล่วง ถือเป็นดัชนีชี้วัดอนาคตทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ด้วย
