การแกะรอย “พรรคคสช.” มีความจำเป็นต้องใช้พรานระดับสูง ยิ่ง หากเคยเกาะติด”เสือดำ”แห่งทุ่งใหญ่นเรศวรมาแล้ว ยิ่งทรงความหมาย

ก่อนหน้านี้ความสนใจอาจมุ่งไปยังบางเคลื่อนไหวซึ่งเหมือน กับจะเป็นเบาะแส

อย่างเช่นการออกโรงของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน

อย่างเช่นการไปปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ระหว่างการเยือนออสเตรเลีย

อย่างเช่นการเผยแสดงของนอมินี “มหาจำลอง”

แต่พลันที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกโรง ประสานกับที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกโรง

บรรดา”ตัวประกอบ”ทั้งหลายก็ต้อง”ชิดซ้าย”

 

ไม่ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ล้วนสำแดงลีลาระดับ “เยี่ยมยุทธ์”

เหยียบ”หิมะ”ก็ไม่เห็น “ร่องรอย”

คนแรกถือได้ว่าสืบทอดวิชา”การตลาด”มาจากกูรูอย่าง ฟิลิปป์ คอตเลอร์

คนหลังถือได้ว่าเรียนรู้ทุกกระบวนท่า ชวน หลีกภัย

ลักษณะ “ร่วม”ที่เหมือนกันก็คือ ไม่ออกหน้าแต่ไม่ปฏิเสธว่ามีการเคลื่อนไหว

จับเอา”เนื้อหา”มาประสานเข้าด้วยกันก็จะสัมผัสได้

ที่ตรงกันราวกับออกมาจากปากเดียวกัน 1 คือ ต้องสืบสานงานปฏิรูปให้มีความต่อเนื่อง จึงต้องการคนดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต ทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่อตนเองหรือครอบครัว

แล้วก็ชี้นิ้วไปยังนาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

พลันที่จอมยุทธ์ระดับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกโรง เมื่อจับมาประเมินผ่านจอมยุทธ์ระดับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ไม่ว่าจะเรียกว่า “พรรคทหาร”

ไม่ว่าจะเรียกว่า “พรรคคสช.” หรือไม่ว่าจะเรียกว่า “พรรคมวลมหาประชาชน”

ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน

นั่นก็เพราะการเคลื่อนไหว”ชัตดาวน์”ของมวลมหาประชาชนสัมพันธ์กับการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2557 แนบแน่น

หายใจร่วม”รูจมูก”เดียวกัน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน