สถานการณ์ฝุ่นขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 กำลังทวีความรุนแรงเกือบทั่วประเทศ สุ่มเสี่ยงส่งผลกระทบ เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้างอย่างน่าวิตกกังวล

จากข้อมูลของจิสด้าพบว่าหลายพื้นที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีเหลืองและสีแดง แต่พบว่ามีพื้นที่อยู่ในระดับสีม่วงอ่อน ที่เป็นคุณภาพอากาศอันตรายด้วย ซึ่งน่าเป็นห่วง

หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างออกมารณรงค์ให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นเบื้องต้นก่อน โดยให้ปฏิบัติตามคำแนะนำมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

ขณะเดียวกันมาตรการบังคับด้านกฎหมายก็จะเข้มงวดจริงจังเพิ่มขึ้น ทั้งมาตรการลดการเผา ตรวจจับควันดำ ตลอดจนลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ

นายกรัฐมนตรีระบุว่าการแก้ปัญหาฝุ่นพิษไม่เพียงแต่เป็นวาระแห่งชาติประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นวาระของอาเซียน เนื่องจากแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

มาตรการลดฝุ่นควันจึงเป็นเรื่องมหภาคที่จะต้องร่วมมือกันบูรณาการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เป็นระบบ โดยมีเจ้าภาพใหญ่ที่มีอำนาจสั่งการให้ปฏิบัติได้ทันที

ขณะที่ปฏิบัติการของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ใช้เทคโนโลยีจากการทำฝนด้วยการทะลวงเมฆเปิดช่องเพื่อระบายฝุ่นก็สามารถช่วยได้อีกทาง ถ้าได้ผลสรุปว่ามีผลดีจริงก็ยิ่งต้องสนับสนุน

อีกทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หน่วยงานต่างๆ อนุญาตให้ทำงานจากบ้าน ปิดสถานศึกษาชั่วคราว เพื่อลดใช้ยานพาหนะ และเลี่ยงเผชิญกับการฟุ้งกระจายในสถานที่โล่งแจ้ง ก็เป็นทางเลือกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของฝุ่นขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายทำลายระบบอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ รวมทั้งมะเร็งร้าย

ในทางการแพทย์ระบุว่าด้วยขนาดที่เล็กอย่างมาก ทำให้สูดเข้าลึกไปถึงทางเดินหายใจและปอด บางอนุภาคอาจเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย

การสัมผัสในระยะสั้น เกิดอาการทางเดินหายใจอักเสบ หายใจลำบาก แสบจมูก ไอมีเสมหะ แน่นหน้าอก ถุงลมแฟบ สมรรถภาพปอดลดลง ภูมิแพ้และหืดกำเริบ

ในระยะยาว ส่งผลต่อโรคมะเร็งปอด การอักเสบของเส้นเลือด โรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง จึงต้องตระหนักรู้ เพื่อลดการเจ็บป่วยจากฝุ่นพิษดังกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน