วันมาฆบูชา เป็นอีกวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ คำว่า “มาฆะ” เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า “มาฆบุรณมี” หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ
เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เป็นครั้งแรก ซึ่งหลักคำสอนนี้ถือเป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ สรุปเป็นใจความสำคัญได้ว่า “ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์”
ตามประวัติ ระบุว่าได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กัน รวม 4 ประการ ได้แก่ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์
มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ และเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) ปราชญ์ด้านพระพุทธศาสนา กล่าวถึงความสำคัญวันนี้ว่าสาระและหัวใจของวันมาฆบูชา อยู่ที่ “โอวาทปาติโมกข์” อันเป็นคำสอนแม่บท ได้แก่
ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธะทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยม ผู้ทําร้ายผู้อื่น เป็นบรรพชิตไม่ได้ ผู้เบียดเบียนผู้อื่น เป็นสมณะไม่ได้
การไม่ทําบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทําจิตของตนให้ผ่องใส การไม่กล่าวร้าย การไม่ทําร้าย ความสํารวมในพระปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ที่นอนที่นั่งอันสงัด และการประกอบความเพียรในอธิจิต
โดยชี้ว่าสิ่งเหล่านี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธะทั้งหลาย ซึ่งชาวพุทธทั้งมวลพึงตระหนักรู้และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันตามแนวทางการปฏิบัติบูชาเพื่อความสงบระงับ
สำหรับปีนี้ เกิดประจวบกันสร้างความอัศจรรย์แก่ชาวล้านนาเช่นกัน เนื่องจากตรงกับ “วันเป็งปุ๊ด” คือคืนเพ็ญเต็มดวงที่ตรงกับวันพุธ ที่มาของประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน
มีความเชื่อว่าพระอุปคุตออกบิณฑบาตโดยแปลงกายเป็นสามเณร ถ้าหากได้ใส่บาตรแล้วถือว่าได้ทำบุญกับพระอุปคุต อันจะทำให้ประสบแต่ความสุข มีทรัพย์สินเงินทอง และได้รับอานิสงส์อย่างมาก
ปีนี้อีกเช่นกัน พุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสเวียนเทียนรอบมณฑปพระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ท้องสนามหลวงจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะครบกำหนดอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่งตามเดิมแล้ว ดังนั้นในช่วงวันเวลาที่เหลืออยู่นี้ขอเชิญไปสักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต
