จากผลโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน จำนวน 1,310 ตัวอย่าง ต่อการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร
พบว่า ร้อยละ 36.49 ระบุ ควรขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งหมด รองลงมาร้อยละ 31.83 เห็นด้วยกับการเปิดอภิปรายนายกฯ เพียงคนเดียว
ขณะที่ร้อยละ 17.63 ไม่เห็นด้วยเลยกับการเปิดอภิปรายนายกฯ หรือรัฐมนตรีคนใด ร้อยละ 11.91 เห็นว่า ควรเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีบางคน และร้อยละ 2.14 ระบุ ควรเปิดอภิปรายเฉพาะรัฐมนตรี ไม่รวมนายกฯ
ส่วนจำนวนวันที่เหมาะสมสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ร้อยละ 37.25 ระบุว่า 3 วัน รองลงมา ร้อยละ 24.89 จำนวน 2 วัน ร้อยละ 21.30 จำนวน 5 วัน ร้อยละ 11.68 จำนวน 1 วัน ร้อยละ 4.35 ระบุ จำนวน 4 วัน
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ร้อยละ 53.44 เชื่อว่า นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม
รองลงมา ร้อยละ 31.22 เชื่อว่าจะมีการปรับ ครม. ร้อยละ 28.17 พรรคร่วมรัฐบาลยังเหมือนเดิม ร้อยละ 21.15 เห็นว่า ครม.จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 11.76 ระบุ จะมียุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
ร้อยละ 6.64 ระบุ จะมีการเปลี่ยนนายกฯ โดยคนใหม่จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ร้อยละ 6.11 ระบุ จะมีการเปลี่ยนนายกฯ โดยคนใหม่ยังมาจากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 5.95 ระบุ จะมีการเปลี่ยนนายกฯ โดยคนใหม่มาจากพรรคฝ่ายค้าน
ร้อยละ 5.80 ระบุ จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะลดลง ร้อยละ 5.11 เชื่อว่าจะมีการสลับขั้วทางการเมือง เปลี่ยนรัฐบาล และร้อยละ 4.43 มองว่า จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น
ผลสำรวจโพลดังกล่าวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่แท้จริงของผลลัพธ์ แต่ก็สะท้อนว่าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต่างก็ให้ความสนใจติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในครั้งนี้
ฉะนั้น สิ่งที่นักการเมืองผู้แทนประชาชนไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ควรทำก็คืออย่าใช้เวทีนี้เล่นเกมการเมืองมากเกินไป แต่ควรใช้วิธีเจรจาประนีประนอมรอมชอมซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าประเด็นจำนวนวันอภิปราย ที่ควรหาจุดลงตัวให้ได้ระหว่าง 1 วันกับ 5 วัน หรือเนื้อหาในญัตติที่สุ่มเสี่ยงเป็นชนวนก่อให้เกิดความวุ่นวายในสภา ถ้าถอดชนวนนี้ออกได้ ก็จะเป็นเรื่องดี เพื่อให้ญัตติอภิปรายเดินหน้าไปได้สุดทาง
บนพื้นฐานหลักการที่ว่านักการเมืองทุกคนไม่ว่าฝ่ายใด ควรยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เหนือผลประโยชน์ทางการเมืองพรรคใครพรรคมัน
