“บิ๊กตู่” ปิดปาก ไม่ตอบปมเด้งหลานสาว”แม้ว-ปู”เข้ากรุ “วิษณุ”ยันไม่เกี่ยวกับนามสกุล แต่เกี่ยวกับพฤติกรรม “ปู”ทำใจ บอกใครโดน ม.44 ก็ต้องปฏิบัติตาม “มีชัย”เลิกตอบโต้กกต. “สมชัย” ลั่นเรื่องบ้านเมืองอย่าใช้อารมณ์ “สมชัย”จวกซ้ำ กรธ.ไม่จริงใจ รวบรัดส่งร่างกฎหมาย ทำตัวเหมือนน.ศ.สอบวิทยานิพนธ์ แขวะคนกันเองในกกต. ยึดติดตำแหน่ง ยอมหงอ”กรธ.”ทุกอย่าง “ประวิช”ยันพร้อมทำตามกฎหมาย “ปู”เปิดบ้านจัดอีเวนต์ รณรงค์ให้คนหันมาบริโภคข้าวมากขึ้นเพื่อช่วยชาวนา ศาลอาญายกคำร้องปล่อยตัวชั่วคราว”จตุพร”รอบ 3

“บิ๊กตู่”รูดซิปเด้งหลานแม้ว

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 พ.ย. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ครั้งที่ 1/2559 โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 68/2559 โดยใช้มาตรา 44 ย้าย น.ส.ปณิตา ชินวัตร บุตรสาวของนางเยาวลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นหลานสาวนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จากสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) มาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจําสํานักนายกฯ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ และได้เดินขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที

“ปู”ชี้ต้องปฏิบัติตามม.44

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ปณิตา ชินวัตร หลานสาว ถูกคำสั่งมาตรา 44 ย้ายเข้าประจำสำนักนายกฯ ว่า เมื่อเป็นข้าราชการ อีกทั้งเป็นคำสั่งตามมาตรา 44 ก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การย้ายน.ส.ปณิตา ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน เพราะเรื่องเข้าคสช.ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. และที่ตนเข้าพบกับพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้พูดคุยเรื่องสสว.ตามวาระที่จะประชุม และเรื่องอื่นที่โยงกัน ผู้สื่อข่าวถามว่าบุคคลที่ถูกเด้งนามสกุลเดียวกับอดีตนายกฯ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่เกี่ยว แต่บังเอิญที่ไปเป็นเขาและยังมีคนอื่น

ทั้งนี้ ในคำสั่งไม่มีการเขียนเรื่องการร้องเรียน แต่ระบุว่าตั้งอัตราเพิ่มไว้เพราะบางคนถูกร้องเรียน บางคนถูกสอบ บางคนปรับปรุงเพื่อความเหมาะสมบางอย่าง และอาจโยงเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน ตำแหน่งที่แต่ละคนครองอยู่เป็นตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งสสว.มีอยู่จำนวนมาก

“วิษณุ”ยันไม่เกี่ยวนามสกุล

“ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องนามสกุลเลย แต่เป็นเพราะอะไร ผมไม่ทราบ ที่ยืนยันเพราะเรื่องที่เสนอเข้ามาทีแรกไม่มีชื่อคน มีแต่พฤติกรรมหรือมีเหตุการณ์รายงานเข้ามา ตอนหลังเมื่อตรวจสอบมีชื่อคนที่เกี่ยวข้องหลายคน และที่เปิดตำแหน่งจะมีคนอื่นอีก ซึ่งมีหลายหน่วยงาน ตอนนี้ไม่มีรายชื่อ ไม่มีตัวคนเข้ามา มีแต่ให้ตรวจสอบ หรือส่งพฤติกรรมรายงานเหตุการณ์เข้ามา โดยนายกฯสั่งให้ไปดูว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง ซึ่งเดิมเปิดไว้ 100 ตำแหน่ง” นายวิษณุกล่าว

นายวิษณุกล่าวว่า สำหรับข้าราชการ การปรับเปลี่ยนจะมีเรื่องของซีเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นข้าราชการเด็กเขาไปจัดการกันเองได้ แต่กรณีนี้เมื่อไม่ใช่ข้าราชการ จึงต้องมาเปิดตำแหน่งตรงนี้ เพราะรัฐวิสาหกิจไปเอาออกนอกพื้นที่ระหว่างตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะซีอะไรจึงต้องดำเนินการ แต่เอาเข้าจริงคงใช้ไม่หมด วันนี้ใช้ไป 3 ยังเหลืออีก 47 ตำแหน่ง

แจงปมขัดแย้งกรธ.-กกต.

นายวิษณุกล่าวถึงความเห็นต่างระหว่างคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต. โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติและผู้ตรวจการเลือกตั้งว่า ตนไม่ตอบ ต้องให้เขาว่ากันเอง ส่วนที่กกต.มองว่าเป็นองค์กรอิสระเดียวที่ถูกเพ่งเล็งนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่และไม่อยากให้เข้าใจใครต่อใครผิด อย่าลืมว่าพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับองค์กรต่างๆ มีอยู่ 10 ฉบับ ต้องทำให้เสร็จภายใน 8 เดือน แต่ที่เกี่ยวพันกับการเลือกตั้งมีอยู่ 4 ฉบับคือ กฎหมาย กกต. พรรคการเมือง การได้มาซึ่งส.ส.และส.ว. ซึ่งกฎหมายกกต.มาถึงก่อนเพื่อเข้าสภาก่อน ไม่เช่นนั้นจะทำกฎหมายอื่นต่อไม่ได้ การจะบอกว่าองค์กรอื่นไม่เห็นพูดถึงบ้างเลย เรื่องคุณสมบัติต้องพูดอยู่ดีเมื่อมาถึง แต่วันนี้ยังไม่ถึง เพราะยังไม่ได้ทำ

ผู้สื่อข่าวถามว่าการให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งทำหน้าที่แทนกกต.จังหวัด จะประหยัดงบประมาณลงหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ประเด็นงบประมาณไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การสะสมพลังอำนาจเอาไว้เป็นเรื่องใหญ่กว่า หากอยู่ถาวรจะสะสมตรงนี้ยาว เช่นเดียวกับการให้ข้าราชการซี 10 และ 11 อยู่ได้เพียง 4 ปี เพราะเขากลัวเรื่องการสะสมอำนาจ

“มีชัย”ไม่ใช้อารมณ์เรื่องบ้านเมือง

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ตอบโต้บนเวทีสัมมนาการรับฟังความเห็นร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย กกต.และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. เมื่อวันที่ 16 พ.ย. กรธ.รับฟังอย่างจริงใจ ไม่ใช่ใช้งบประมาณจัดงานเป็นพิธีกรรมแล้วไม่นำเอาข้อเสนอไปใช้ว่า เราไม่ตอบโต้ เรื่องของบ้านเมืองไปใช้อารมณ์ไม่ได้ เวลาคิดต้องคิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่าไปคิดแต่เฉพาะส่วนที่กระทบตัวเอง และยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร การไปใช้อารมณ์มันไม่เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่

ส่วนที่ กกต.บางคนระบุกรธ.มีการหมกเม็ดในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัยกล่าวว่า ไม่ขอตอบ และเราไม่รู้ว่าจะไปหมกได้อย่างไร เพราะเวลาที่จะทำอะไรเราก็เปิดเผยหมด อะไรที่ยังไม่ได้ข้อยุติก็ยังไม่นำมาเผยแพร่ เพราะหากนำมาเผยแพร่แล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็จะบอกว่ากรธ.กลับไปกลับมา ทุกอย่างต้องให้ชัดเจนก่อน หลักแบบนี้ใช้มาตลอดเพื่อป้องกันความสับสน

เมินคนด่าโทษประหารแรงไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าการให้กกต.มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 5 คน เป็น 7 คน โดย 2 คนที่เพิ่มมาเป็นสัดส่วนด้านกฎหมายเพราะอะไร นายมีชัยกล่าวว่า คราวนี้เราจะให้บทบาท กกต.ตรวจจับการทุจริตการเลือกตั้ง การใช้เงินเข้ามามีส่วน ซึ่งจะเป็นเรื่องคดีอาญา เป็นการดำเนินคดีในอนาคต จึงต้องเพิ่มคนที่มีความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะมีประสบการณ์ด้านตุลาการมาแล้วมาช่วยเป็นหลัก จะได้ไม่ต้องกังวลกับข้อกฎหมาย ส่วนอีก 5 คนจะมาจากหลากหลายเพื่อคละเคล้ากัน พยายามผสมผสานเพื่อให้เขาทำหน้าที่ได้ กรธ.จะให้ทั้งมีดและเครื่องมือต่างๆ ลงไปมากเพราะเห็นว่า 5 คนอาจไม่เพียงพอ ที่เพิ่ม 2 คนเจาะจงให้เป็นนักกฎหมาย

เมื่อถามถึงความเห็นกรณีโทษการประหารชีวิต จากการซื้อขายตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกวิจารณ์ว่าแรงเกินไปและไม่เป็นไปตามหลักสากล นายมีชัยกล่าวว่า ก็แล้วแต่ ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คิดว่าโทษประหารมันแรงจะเอาแค่ปรับ 5 บาท 10 บาท ก็แล้วแต่จะมอง ถ้ามองว่าเป็นโทษนิดหน่อยกับการเอาตำแหน่งรัฐมนตรีไปขาย 2-3 คน กรธ.ไม่ว่าอะไร สังคมรับได้ก็ได้ คิดว่าไม่เป็นไร กรธ.คิดว่าเรื่องนี้แรง และในอนาคตคงจะไปเพิ่มข้อความว่าอาจจะมีโทษจำคุกตลอดชีวิต เพื่อให้เป็นตัวเลือกอื่นนอกจากการประหารชีวิต เมื่อถามว่าการพิจารณาโทษที่อาจลดจากประหารชีวิตมาเป็นจำคุกตลอดชีวิต คนที่จะเลือกคือใคร นายมีชัยกล่าวว่า ศาลจะเป็น ผู้เลือก ดูความหนักเบา และโทษส่วนใหญ่จะมีทางเลือกเสมอ โดยเราจะเขียนไว้ในกฎหมายลูก

“สมชัย”จวกกรธ.ไม่จริงใจ

ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ด้านบริหารกลาง ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่จัดขึ้นโดยกรธ. เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ว่า มีข้อสังเกตว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายสำคัญที่มีผลต่อการเมืองไทย ทุกฝ่ายควรมีโอกาสให้ความเห็นเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่จากการจัดประชุมดังกล่าวตนเห็นว่า กรธ.ทำเพียงแค่ต้องการให้เป็นพิธีกรรม ไม่ได้มุ่งหวังจะให้ประชาชนได้รู้ถึงเนื้อหาสาระของกฎหมายอย่างแท้จริง เนื่องจากการเชิญคนเข้าร่วมในการสัมมนาก็ขาดความเอาจริงเอาจังในการติดต่อพรรคการเมืองต่างๆ เข้าให้ความเห็น ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ไม่มีตัวแทนเข้าร่วมจะอ้างปัญหาทางธุรการไม่ได้ ครั้งที่แล้วก็มีปัญหาเช่นนี้

อีกทั้งกฎหมายที่นำมาเสนอยังเป็นกฎหมายคนละฉบับ เอาร่างเดิมของ กกต.ที่เสนอขึ้นไปมานำเสนอที่ประชุม ทั้งๆ ที่สาระสำคัญเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจ กรธ.ควรจะเอาร่างของ กรธ.ที่ปรับปรุงแก้ไขสาระสำคัญแล้วมาแสดง

ทำเหมือนน.ศ.ไม่ปรึกษาอจ.

“เมื่อ กรธ.ร่างของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรมีการจัดรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อฟังเสียงจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่อยากให้ กรธ. ทำตัวเหมือนนักศึกษาที่ต้องสอบวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ยอมพบอาจารย์ที่ปรึกษา หมกเม็ดไม่ปรึกษาขอความเห็น พอถึงเวลาใกล้หมดอายุความก็ยื่นวิทยานิพนธ์เล่มเต็มมา แล้วก็อาศัยเวลาที่เหลืออยู่บีบบังคับให้จบ” นายสมชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรธ. มีแนวโน้มจะรับข้อเสนอที่ได้ไปปรับปรุงหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ กรธ.ต้องคิดดูว่าท่านมีความจริงใจที่จะให้ประชาชนรู้เนื้อหาสาระของกฎหมายหรือไม่ ไม่อยากให้เล่นการเมือง หมกเม็ดกฎหมาย เอากฎหมายที่ไม่จริงมาพูดกันถึงเวลาก็รีบส่งสนช. พิจารณาในเวลาที่สั้น

เผยตัวเอง-ประวิชส่อตกเก้าอี้

ส่วนกรณีที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ยืนยันว่าการกำหนดคุณสมบัติของ กกต.จะเท่าเทียมกับองค์กรอิสระอื่นนั้น ถือว่าเป็นธรรม เอาคุณสมบัติใหม่ไปใช้ทุกองค์กร แต่ประโยชน์ที่ได้รับต้องคิดดูให้ดี ขณะนี้สังคมกำลังมองว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังเตรียมการโละเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระทุกองค์กร เอาคนของตัวเองเข้าไปทำหน้าที่ นี่คือการยึดพื้นที่ทางการเมืองที่ต้องดูให้ดี ไม่อยากให้เกิดภาพว่าฝ่ายที่ไม่ได้รับการยอมรับในสังคมกำลังจะเปลี่ยนแปลงยึดพื้นที่ในทุกภาคส่วน โดยอ้างเรื่องคุณสมบัติ มิฉะนั้นแล้ว กระบวนการตรวจสอบคัดค้านให้เกิดความเป็นธรรมจะไม่เกิดขึ้น

ต่อข้อถามว่าหากมีกรรมการบางคนต้องพ้นจากตำแหน่งจะกระทบการเลือกตั้งหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ตอนนี้ที่มีชื่ออยู่ในข่ายคือตนกับนายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม ส่วนตนไม่มีปัญหาเพราะได้เตรียมการมาพอสมควร คงเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนนายประวิชได้ทำงานอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอดเป็นเรื่องของสำนักงานที่จะสานนโยบายต่อไป

แขวะเพื่อนกกต.ยึดติดตำแหน่ง

“วันนี้ตนอยากให้กกต.มองปัญหาที่เกิดขึ้นจริงบนพื้นฐานประสบการณ์การทำงาน ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าสิ่งที่เขียนมาใช้ได้หรือไม่ได้ ไม่อยากให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ว่าแล้วแต่เขาจะเขียนให้อย่างไรก็เอาตามนั้น คนคิดแบบนี้ไม่ควรทำงานเป็น กกต. ควรเอาประสบการณ์สะท้อนข้อเท็จจริงว่ารูปแบบดังกล่าวมีปัญหาอย่างไร ก่อให้เกิดผลดีทางการเมืองหรือไม่ ถ้าดีกว่าเดิมก็ต้องสนับสนุน ถ้าแย่กว่าเดิมก็ต้องกล้าให้ความเห็น ไม่ใช่ติดยึดตำแหน่งของตัวเองว่าพูดไปแล้วจะกระทบหน้าที่ตำแหน่งของตัวเอง” นายสมชัยกล่าว

ด้านนายประวิช รัตนเพียร กกต. ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการกำหนดคุณสมบัติของ กกต.ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.ของกรธ.ว่า ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรอิสระใดที่จะพูดเรื่องคุณสมบัติ เป็นไปตามที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. จะกำหนด ตนยืนยันแบบนี้หลายครั้งไม่เปลี่ยนจากเดิม ผู้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการร่างคือ กรธ. และไปสิ้นสุดที่สนช. ท่านจะตัดสินใจอย่างไรเป็นอิสระของท่าน จะออกมาอย่างไรก็ปฏิบัติตาม ไม่กังวลกับเรื่องดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อกังวลว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหากมี กกต.พ้นตำแหน่งไปจะเป็นการเปลี่ยนม้ากลางศึก นายประวิชกล่าวว่า ข้อกังวลดังกล่าวมีคนพูดแล้ว อย่างไรก็ตามอยู่ในดุลพินิจของ กรธ. และสนช.ขณะนี้ทุกภาคส่วนมีเสียงส่งไปแล้ว กรธ.ก็พิจารณาโดยอิสระแล้ว

“ประวิช”พร้อมทำตามกฎหมาย

ต่อข้อถามถึงกรณีที่หากคุณสมบัติไม่ครบตามที่กำหนดใหม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง นายประวิชกล่าวว่า ตนไม่อยู่ในสถานะที่จะบอกว่าตัวเองเป็นอย่างไร ไม่ใช่หน้าที่ ต้องรอกฎหมายออกมาก่อน ออกมาแล้วทุกคนต้องปฏิบัติ เพราะสิ่งสำคัญของความเป็นพลเมืองต้องเคารพกฎหมาย ไม่ได้ขอปรับแก้อะไรเลย เท่าที่ดูความคิดเห็นที่เสนอไปตามสื่อต่างๆ กรธ.ก็รับทราบหมดแล้ว ใช้ดุลพินิจโดยอิสระ ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมืองจึงจะเดินหน้า ต่อไปได้

เมื่อถามว่า กรธ.มีการเปลี่ยนแปลง กกต.จังหวัดไปเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง จะมีผล อย่างไร นายประวิชกล่าวว่า กกต.ดูแล้วว่าการมี กกต.จังหวัดมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และมีความเห็นเสนอไปแล้วว่าการมี กกต.จังหวัดจำเป็น แต่เพื่อลดงบประมาณก็ให้เปลี่ยนจากการจ่ายเงินเดือนเป็นการจ่ายเบี้ยประชุมได้ ขณะนี้เรื่องผู้ตรวจการเลือกตั้งยังเป็นข้อถกเถียง ซึ่งกรธ.จะคิดอย่างไรก็ให้สนช.พิจารณาต่อ ต่างคนต่างทำหน้าที่

“พีระศักดิ์”ติงโทษประหาร

ที่รัฐสภา นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. คนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง ที่กำหนดบทลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต หากมีการทุจริตซื้อขายตำแหน่งว่า กฎหมายของไทยที่บังคับใช้ทันสมัยอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือการบังคับใช้ที่ไม่เคร่งครัด ซึ่งการลงโทษประหารชีวิต ในหลายประเทศยกเลิกไปหมดแล้ว ดังนั้น การกำหนดโทษต้องเหมาะสมกับความผิดและนึกถึงสังคมโลกด้วย อีกทั้งควรให้ศาลใช้ดุลพินิจ แม้การซื้อขายตำแหน่งถือเป็น ความผิดร้ายแรง เพราะเท่ากับทำหน้าที่ของตัวเองไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีบทลงโทษทางปกครองและทางวินัย ที่ไล่ออกจากราชการซึ่งถือว่ารุนแรงอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรม นูญว่าด้วยกกต. ที่กำหนดคุณสมบัติซึ่งอาจทำให้กกต.บางคนพ้นจากตำแหน่ง นายพีระศักดิ์กล่าวว่า เป็นแนวคิดของกรธ. ว่ากกต.ชุดเดิมควรอยู่ต่อหรือไม่ ก็มีทางออกที่บทเฉพาะกาล ส่วนต้องรีเซ็ตกกต.ใหม่หรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าช่วงที่ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กกต.ก็ทำหน้าที่ได้ดี การเลือกตั้งบางครั้งต้องใช้ประสบการณ์ ถ้ารีเซ็ตใหม่หมดอาจเกิดปัญหาได้ ส่วนที่กกต.บางคนต้องพ้นจากตำแหน่งไป ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องคุณสมบัติ ที่กรธ.จะร่างออกมา สุดท้ายสนช.จะได้พิจารณา

สพม.เปิดโพลกฎหมายลูก

ส่วนการให้รางวัลนำจับผู้ที่พบการทุจริตซื้อสิทธิขายเสียงนั้น นายพีระศักดิ์กล่าวว่า น่าจะช่วยลดการซื้อสิทธิขายเสียงได้ เพราะถ้าอาศัยแค่กกต.จังหวัดดำเนินการ ก็อ้างว่าไม่มีกำลัง ให้ประชาชนไปหาหลักฐานมาเองทำให้เกิดช่องว่าง เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นส่วนใหญ่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งค่อนข้างมีอิทธิพล ซึ่งข้อมูลอาจรั่วไหลได้ ดังนั้น การให้รางวัลนำจับก็น่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง ส่วนถึงขั้นต้องยุบกกต.จังหวัดหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของกรธ.จะพิจารณา แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรจะแค่ปรับบทบาทหน้าที่

ที่สภาพัฒนาการเมือง (สพม.) นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสพม. แถลงผลการสำรวจความเห็นและการรับฟังความเห็นต่อการจัดทำพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับว่า ได้สำรวจความเห็นในเดือนพ.ย. จากกลุ่มตัวอย่าง 7,515 คน รับฟังความเห็นจากคณะทำงานเครือข่ายภาคประชาสังคมระดับกลุ่มจังหวัด(คปก.)ในภาคต่างๆ 1,150 คน และสนทนากลุ่มหรือโฟกัสกรุ๊ป 12 คน ซึ่งมาจากพรรคการเมือง นักวิชาการ โดยข้อเสนอดังกล่าวจะส่งถึงกรธ. สนช.ต่อไป

โฟกัสกรุ๊ปค้านรีเซ็ตกกต.-พรรค

นายธีรภัทร์กล่าวว่า ผลสำรวจความเห็นประเด็นสำคัญ อาทิ ประชาชนร้อยละ 68.50 เห็นด้วยกับการให้กระทรวงมหาดไทยมีส่วนร่วมบริหารจัดการเลือกตั้งเพื่อสนับสนุนการทำงานและลดภาระของกกต. ขณะที่คปก.เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่กกต.ชุดปัจจุบันและให้สรรหาชุดใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับการให้กระทรวงมหาดไทยร่วมจัดเลือกตั้ง ส่วนโฟกัสกรุ๊ปพรรคการเมือง ไม่เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่กกต. แต่ควรปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังไม่เห็นด้วยที่กระทรวงมหาดไทยจะมีส่วนร่วมจัดการเลือกตั้ง เพราะจะเกิดปัญหาทับซ้อนของอำนาจ

สำหรับการเซ็ตซีโร่พรรคในปัจจุบันให้สิ้นสภาพเมื่อประกาศใช้พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ คปก.เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่พรรค แต่อีกกลุ่มตัวอย่างหนึ่งเห็นว่าปัญหาทางการเมืองไม่ได้มีสาเหตุจากพรรคเพียงอย่างเดียว ปัญหาของพรรคไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเซ็ตซีโร่ ทั้งยังส่งผลให้ระบบพรรคอ่อนแอ ส่วนความเห็นจากโฟกัสกรุ๊ปไม่เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่พรรคปัจจุบัน เพราะทำให้ถอยหลังกลับ แต่ควรพัฒนาพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมืองและเกิดเป็นพรรคของประชนชนอย่างแท้จริง

“ปู”จัดอีเวนต์ช่วยชาวนา

เมื่อเวลา 15.45 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกับแฟนเพจจัดกิจกรรม “ช่วยชาวนา สร้างมูลค่าข้าวไทย ร่วมใจบริโภคเพิ่ม” ที่บ้านพักส่วนตัว ซ.โยธินพัฒนา 3 กรุงเทพฯ โดยมีบรรดาอดีตรัฐมนตรี แกนนำ และอดีต ส.ส.พรรค เพื่อไทยมาร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคักมีแฟนเพจจากเฟซบุ๊กของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลุ่มคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสตรีเขตบึงกุ่ม กลุ่มเนกซท์ โรงเรียนการอาหารนานาชาติของ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กลุ่มราชบุรี เพชรบุรี นำเมนูอาหารที่แปรรูปจากข้าว มาจัดแสดงกว่า 50 เมนู อาทิ ข้าวตังหอม ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมจีนน้ำยาหมู แป้งเส้นทานคู่ส้มตำ ก๋วยจั๊บ พิซซ่าข้าว พุดดิ้งข้าว ซูชิไส้อั่ว สลัดข้าวหอมมะลิ หอมมะลิยัดไส้ ข้าวเหนียวเขี้ยวงู เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนบริโภคข้าวมากขึ้น รวมทั้งนำข้าวมาแปรรูป ลดปริมาณข้าวเปลือกที่มีอยู่ในประเทศให้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวขยับสูงขึ้น ถือเป็นอีกวิธีในการช่วยเหลือชาวนา

กระตุ้นบริโภคข้าวมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์มาถึงได้ชิมอาหารและสอบถามวิธีการทำจากกลุ่มต่างๆ โดยบางส่วนได้มอบขนมและอาหารให้เป็นที่ระลึก จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ร่วมสาธิตการประกอบอาหารที่แปรรูปจากข้าวเป็นเมนูต่างๆ อาทิ ขนมครกหน้าหมูยอและหน้าไส้อั่วโดยทำจากข้าวหอมมะลิ ข้าวยำสไตล์ไทย และลาบข้าวเหนียวอกไก่ โดยเป็นเมนูที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชอบรับประทานทั้งสิ้น จากนั้นได้เชิญชวนให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค รวมทั้งสื่อมวลชนร่วมชิม โดยทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า ได้เห็นการร่วมมือ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยชาวนาได้ขายข้าวไปถึง ผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจ หากอยากให้มีการขายจำนวนมาก ก็ต้องช่วยกันกระตุ้นความต้องการในการซื้อข้าว เป็นการต่อยอดช่วยเหลือชาวนา ทั้งนี้ กิจกรรมในวันนี้มีแนวคิดเริ่มมาจากคนใกล้ชิดและแฟนคลับ เพื่อให้ทุกคนหันมาบริโภคข้าวมากขึ้น ด้วยการแปรรูปหรือการประยุกต์ในรูปแบบต่างๆ หากทำให้ทุกคนมีความนิยมในเรื่องอาหารไทย นำข้าวไปใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร ก็จะทำให้ทุกคนมีความต้องการข้าวมากขึ้น สุดท้ายจะมีการซื้อข้าวจากชาวนามากขึ้น ส่วนคนที่อยู่บ้านถ้าได้ช่วยกันผัดข้าว หรือคิดเมนูเกี่ยวกับข้าวมากขึ้นก็ถือว่าช่วยชาวนาแล้ว จึงเป็นที่มาในวันนี้ที่จะเชิญชวนทุกคนคิดเมนูเล็กๆ น้อยๆ

ยันไม่เอี่ยวเรื่องการเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่าการจัดกิจกรรมในวันนี้จะถูกมองเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าเราต้องการช่วยเหลือชาวนาก็ต้องยึดมั่นอยู่ตรงนั้น และวันนี้เราไม่ได้ทำในประเด็นที่เกี่ยวกับการเมือง เพียงแต่ต้องการช่วยเหลือชาวนา ถ้าเราช่วยกันรณรงค์ในการเพิ่มเมนูอาหารที่เกี่ยวกับข้าวบ้านละหนึ่งอย่าง เชื่อว่าหนึ่งปีคนจะบริโภคข้าวกว่า 10 ล้านตัน สุดท้ายเมื่อความต้องการซื้อและความต้องการขายสมดุลกัน ราคาจะขยับตัวขึ้นตามธรรมชาติ

เมื่อถามว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาขายข้าวบ้าง ถือเป็นการเลียนแบบหรือไม่ น.ส. ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ขอมองในแง่ดีว่าเป็นการช่วยกัน และไม่ได้บอกว่าเราทำแล้วคนอื่นจะทำไม่ได้ ส่วนจะมีกิจกรรมขายข้าวในรอบที่สามต่อไปหรือไม่นั้น ขอดูโอกาสก่อน เพราะวันนี้หลายๆ ส่วนได้เริ่มทำบ้างแล้ว เพราะหากลงไปขายมาก สุดท้ายแล้วต้องหาคนมาซื้อเพิ่มอีก ตนจึงหันมาประยุกต์ซึ่งเป็นการเพิ่มการบริโภค เพื่อให้ความต้องการซื้อข้าวมากขึ้น และมีการ กลับมาซื้อข้าวอีก

พท.ย้ำคดีข้าว-ควรรอศาลตัดสิน

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเรียกค่าเสียหายกับผู้เกี่ยวข้องในคดีรับจำนำข้าวส่วนที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ ในรัฐบาลน.ส. ยิ่งลักษณ์ ว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือชาวนา เป็นนโยบายสาธารณะ ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ การดำเนินการดังกล่าวไม่ควรจะถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อรัฐ เพราะจริงๆ แล้วรัฐเป็น ผู้กระทำ เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องมีข้อยุติก่อน และควรยุติโดยศาล มิใช่รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นภายหลัง

ส่วนการหาผู้รับผิดชอบเพิ่มเติมในส่วนที่เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ โดยบอกว่าจะครอบคลุมบุคคลถึง 6 พันคนนั้น เห็นว่าเขาคงพิจารณากันตามกฎหมาย และระเบียบของกระทรวงการคลัง ที่กำหนดให้ต้องคิดคำนวณแบ่งเฉลี่ยความรับผิดชอบ มีข้อสังเกตว่าหลายๆ คน เป็นข้าราชการดำเนินการตามคำสั่งตามนโยบายรัฐบาล แล้วต้องรับผิดชอบด้วยหรือ ต่อไปคงไม่มีข้าราชการผู้ใดร่วมดำเนินการแม้จะเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ

ฉะรัฐสองมาตรฐาน

นายชูศักดิ์กล่าวว่า กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น ชัดเจนว่ามีความเร่งรัดรีบเร่ง วินิจฉัยไปว่าต้องรับผิด 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ยังไม่รู้รายละเอียดความรับผิดชอบใดๆ ในส่วนของ 80 เปอร์เซ็นต์เลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญผู้อยู่ในข่ายต้องรับผิดเพิ่มเติม อาจต้องมาเป็นพยานในคดีอาญาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้น่าคิดในประเด็นความเป็นธรรมอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่ที่ประเด็นใหญ่ว่าการดำเนินโครงการสาธารณะตามนโยบายรัฐบาลเช่นนี้ ไม่ควรมากล่าวหากันว่าเป็นละเมิดได้เลย ในอดีตมีโครงการสาธารณะต่างๆ มากมายที่ใช้งบประมาณจำนวนมากโดยไม่เคยมีการดำเนินคดีใดๆ กับผู้นำรัฐบาล ถ้าเป็นไปแบบนี้ ข้อครหาเรื่องเลือกปฏิบัติสองมาตรฐานก็คงมีอยู่ ไม่ได้สิ้นสุดลง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลมองปัญหาให้ชัดเจนและเร่งแก้ให้ถูกทาง โดยเฉพาะการช่วยเหลือชาวนาที่กำลังลำบากมาก ใครช่วยเหลือทางด้านไหนได้ก็ควรส่งเสริม ไม่ใช่ออกมาโจมตีคนที่ช่วยเหลือ เพราะราคาข้าวยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนและตกต่ำได้อีก ถ้าโจมตีคนที่ช่วยเหลือ สุดท้ายความลำบากจะตกกับชาวนา และอาจทำให้ชาวนาหมดความอดทนได้

“บิ๊กปุย”ยันผนึกสัมพันธ์สหรัฐ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) พล.อ. สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับตชด.อย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังเข้าดำรงตำแหน่งโดยมี พล.ต.ต.เทพ อมรโสภิต รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการ ตชด. ต้อนรับ

พล.อ.สุรพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จะต้องปรับเปลี่ยนบทบาททางการทหารหรือไม่ว่า รัฐบาลใหม่สหรัฐจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในเดือนม.ค.2560 ซึ่งขณะนี้ความสัมพันธ์และการทำงานยังเป็นปกติ แต่ในอนาคตต้องดูว่าจะมีนโยบายอย่างไรบ้าง ส่วนการฝึกคอบร้าโกลด์ระหว่างสหรัฐกับไทย ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพราะเป็นการฝึกที่มีมาตลอด การฝึกจะเริ่มกลางเดือนก.พ.2560 และจะฝึกแบบไลต์เยียร์ ไม่มีอะไรน่าห่วง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

ศาลยกคำร้องประกัน”ตู่”รอบ3

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 พ.ย.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว และศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มายื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายจตุพร ต่อศาลอาญา เป็นครั้งที่ 3 พร้อมด้วยหลักทรัพย์เป็นเงินสด 6 แสนบาท

โดยคำร้องสรุปว่า นับแต่ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวถึงวันนี้นานกว่า 1 เดือนแล้ว ซึ่งนานพอสมควรกับการลงโทษ และวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลงโทษนางสุดสงวน สุธีสร จำเลยคดีละเมิดอำนาจจากกรณีชูป้ายวางพวงหรีดที่ศาลแพ่งเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งจำเลยเห็นว่าการเพิกถอนสัญญาประกันของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเดียวกับการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล โทษคุมขังจึงน่าจะพอสมควรแก่การกระทำฝ่าฝืนเงื่อนไขของศาล จึงเป็นเหตุสมควรให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในระหว่างพิจารณาอีกสักครั้ง

อีกทั้งวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต จึงจะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความอาลัยและเข้ากราบพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรทำ และเชื่อว่าไม่มีประชาชนคนใดจะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองแน่นอน และนายจตุพรยังให้คำมั่นว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่ปฏิบัติตัวผิดเงื่อนไขอีกและสำนึกผิดแล้ว

ต่อมาเวลา 15.20 น.ศาลอาญา มีคำสั่งให้ยกคำร้องของนายจตุพร โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้แจ้งคำสั่งศาลให้จำเลยที่ 2 ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว

นายวิญญัติกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่เป็นครั้งที่ 4 ส่วนเหตุผลที่จะประกอบในคำร้องนั้นจะต้องพิจารณาก่อน ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน