มนุษย์ตู่ปรี๊ด

ใบตองแห้ง

คืนวันศุกร์ ลุงตู่ไม่รู้ไปกินอะไรมา ชมเพจ Because We Care เพจแหม่มโพธิ์ดำ และเพจ Drama-Addict ว่าเป็น โซเชี่ยลสร้างสรรค์ รับเรื่องร้องเรียนเด็กและสตรี ทำงานร่วมกับภาครัฐ

ทำเอาจ่าพิชิตเขิน ขอเว้นการเมืองซักโพสต์

แต่พอวันจันทร์ อังคาร พุธ ท่านผู้นำกลับปรี๊ดสื่อ รวมถึงโลกโซเชี่ยลที่วิพากษ์วิจารณ์ ปรี๊ดเป็นชุด ทั้งอารมณ์ เนื้อหา วาจา ท่าทาง แผ่รังสีตั้งแต่เวทีบริหารจัดการน้ำ บึ้งคำตอบคำ เรื่องปู่ดอน ปรมัตถ์วินัย ตกบ่ายมายืนโค้งคำนับสื่อ แล้ววันอังคารก็ประชด “ผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย” เตือนว่าต่อไปใครวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีหลักฐาน จะเอาผิดหมิ่นประมาท รวมถึงชาวบ้านที่ใช้โซเชี่ยลก็ให้ระมัดระวัง

ด้วยความเคารพ เป็นสิทธิของท่านอยู่แล้วครับ ที่จะฟ้องหมิ่นประมาท หากไม่ใช้ประกาศคำสั่ง คสช.ปิดกั้น หรือ คสช.แจ้งจับคนวิจารณ์ท่าน ว่าผิด 116 เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือแจ้ง ปอท.ฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เพราะความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล ฯลฯ การฟ้องหมิ่นประมาทถือเป็นการใช้สิทธิอย่างสง่างาม

เพียงแต่ในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นผู้มีอำนาจ ผู้ใช้อำนาจ กฎหมายก็เปิดโอกาสให้สังคมติชมโดยสุจริต ถึงแม้ยึดอำนาจมา ไม่ได้อาสามาตามระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่ว่าวิธีไหน อำนาจก็พร้อมความรับผิดชอบ และคำติชม ต้องรับดอกไม้รับก้อนอิฐ ลงกระโถน ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ นี่คือความจริงในสังคม ปิดกั้นยังไงก็หนีไม่พ้น ปรี๊ดยังไงก็ต้องโดน

ว่าที่จริง ชาวบ้านก็ยังสงสัย ท่านปรี๊ดเรื่องอันใด ดูข่าวย้อนหลังแล้วยังงง ข่าวการเมืองไม่เห็นมีเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับท่านโดยตรง หรือเพราะสั่งสมความอัดอั้นตันใจมานาน จนต่อมความเป็นมนุษย์แตกโพละพอดี

เท่าที่ฟังก็น่าเห็นใจ วิเคราะห์อาการในภาพรวมคือท่านน้อยใจ หงุดหงิด อัดอั้น ทำดีไม่มีใครเห็น เห็นแต่คนวิพากษ์วิจารณ์ โลกโซเชี่ยลก็ก่นด่า รัฐบาลทำงานเหมือนทีมฟุตบอล อุตส่าห์เหนื่อยยากแก้ไขปัญหา คนดูกลับด่าทุกวัน สื่อก็ไม่พูดถึงผลงาน แต่มีใครตำหนิรัฐบาลขยายไป 3 วัน 5 วัน

ล่าสุดก็อัดอั้นจนบ่นว่าท่านผิดที่มีความเป็นมนุษย์สูง มีโมโห มีโกรธา ทำดีแล้วไม่ได้ดี ถูกด่าว่าให้ร้าย ทำลายเกียรติยศ ผรุสวาททางโซเชี่ยลมีเดีย

ฟังท่านตัดพ้อแล้วน้ำตาจะไหล รู้ซึ้งหรือยัง หัวอกนายกฯ คนก่อนๆ ที่ถูกเรียกไอ้เรียกอี โดยไม่มีสิทธิโกรธชาวบ้านด้วยซ้ำไป ไม่มี ม.44 ไม่มีคำสั่งเป็นกฎหมาย ปิดปากสื่อไม่ได้

ถ้าย้อนดูท่านชมเพจดรามาแล้วกลับมาปรี๊ดสื่อ ก็เข้าใจได้ ความคิดลุงตู่คือ สื่อมีหน้าที่ร่วมมือทำงานกับภาครัฐ ช่วยสะท้อนปัญหา จับคนทำผิด จับขนมจีนราดน้ำปลา หรือวิพากษ์สังคม คดีมอมยาข่มขืน ฆ่าแฟนตาย ฯลฯ แต่อย่ามาวิจารณ์รัฐบาล ต้องช่วยสนับสนุนท่านทำงานเพื่อชาติ

คำถามคือท่านเข้าใจบทบาทหน้าที่สื่อผิดไปหรือเปล่า สื่อเป็นอิสระ ไม่ใช่เครื่องมือหรือกระบอกเสียงรัฐบาล ไม่ใช่บอกว่ารัฐบาลทำดีแล้วต้องสนับสนุน สื่อมีหน้าที่สะท้อนเสียงรอบข้าง โดยเฉพาะเสียงข้างน้อย ไม่ใช่บอกว่าเสียงข้างน้อยมาร้องสื่อ คือการทำให้วุ่นวาย

มิหนำซ้ำ ท่านยังพาดพิงถึงสื่อว่าต้องใช้เงินซื้อหรืออย่างไร ท่านมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สื่อก็มี พูดเช่นนี้ได้อย่างไร

รัฐบาลมีสื่อมากมายในมือ ทั้งสื่อรัฐ สื่อกองหนุน ซ้ำมีอำนาจปิดกั้นต่อรอง ยังต่อกรเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ อย่างนี้ควรโทษใคร

ในภาพรวมก็เข้าใจนะ 4 ปีที่ผ่านมา ลุงตู่หวังจะใช้อำนาจบังคับสังคม ให้เกิดฉันทามติ โดยบอกว่าเป็นการใช้อำนาจด้วยความปรารถนาดี สถาปนาระบอบที่กำกับดูแลโดยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้รักชาติรักแผ่นดิน ฉะนั้นประชาชนทุกคนมี “หน้าที่พลเมือง” ต้องให้ความร่วมมือ สนับสนุน เป็นกองเชียร์ ให้กำลังใจ เพื่อนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยในแบบของพวกท่าน คืออยู่ในโอวาท เชื่อฟัง ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าวุ่นวายไม่ได้เลือกตั้ง

แต่วิธีคิดเช่นนี้ อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้ แถมยิ่งอยู่นานยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จนอัดอั้นจนทนไม่ไหว ต้องระเบิดออกมาเป็นพักๆ อย่างที่เห็นกันบ่อยไป ยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ความสำเร็จความล้มเหลวอาจเกิดได้ในพริบตา

ในฐานะที่ห่วงใย ก็บอกได้แต่ว่าท่านต้องทำใจ ยอมรับเสียเถอะว่าอำนาจมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ นี่ยังดีเท่าไหร่ ที่อยู่ในระบอบนี้ ซึ่งท่านปรี๊ดได้ แต่ชาวบ้านสิครับ ปรี๊ดไม่ได้ ทั้งที่อัดอั้นตันใจจะระเบิดอยู่แล้ว

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน