“บิ๊กตู่”บินไปสหรัฐคืนนี้ ร่วมประชุมยูเอ็นถึง 25 ก.ย. สปท.โวยกรธ.เขียนที่มาส.ว.มั่ว ข้องใจวิธีแบ่งกลุ่ม-ไขว้อาชีพ เปรียบเลือกแบบไร้ปัญญา-ตาบอด เชื่อบล็อกโหวตง่าย ปชป.เตือนกรธ.อย่าเขียนกฎหมายเอาใจใคร “จตุพร” เชื่อสนช.ถอดถอน “บิ๊กโอ๋” ส่งสัญญาณจับอดีต 40 ส.ส.เพื่อไทยสู่ลานสังหารเซ่นดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย จวกขบวนการยั่วยุให้ยึดทรัพย์ “ปู” คดีข้าว ท้าใช้มาตรา 44 ทำไปเลย “สมศรี” ชี้คดี “ธีรวัฒน์” ข้อหาผิดจริยธรรมอาจต้องส่งคณะกรรมการตุลาการสอบเอง แนะ 5 เสือกกต.หนักแน่น ถ้าเปลี่ยนประธานช่วงนี้อาจเปิดช่องเซ็ตซีโร่ รองผู้ว่าฯตรังชนปลัดมหาดไทยอีก อาวุโสอันดับ 1 ต้องได้ขึ้นผู้ว่าฯ ทวงถามสัญญาดูแลผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนใต้

“บิ๊กตู่”ประชุมยูเอ็นที่สหรัฐ
เมื่อ วันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 23.45 น. วันที่ 18 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐ ระหว่างวันที่ 18-25 ก.ย. โดยร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไปในหัวข้อ “The Sustainable Development Goals : the Universal push to transform our world” เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และหยิบยกบทบาทของไทยในภารกิจ 3 เสาสำคัญของยูเอ็น คือ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ด้านสังคม และความมั่นคง รวมทั้งย้ำหลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นอก จากนี้พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าร่วมการประชุมในกรอบสมัชชาสหประชาชาติ และกิจกรรมคู่ขนานในวาระอื่นๆ อาทิ การประชุม สุดยอดระดับผู้นำด้านผู้ลี้ภัยของประธานา ธิบดีสหรัฐ การประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ กิจกรรมระดับสูงเกี่ยวกับการใช้บังคับของความตกลงปารีส รวมทั้งเป็นประธานเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 และร่วมงานเลี้ยงรับรองในฐานะประธานกลุ่ม 77 พร้อมทั้งหารือผู้นำประเทศ พบปะภาคเอกชนชั้นนำของสหรัฐ และชุมชนไทยในสหรัฐ

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมเต็มคณะปีแรก หลังจากที่ยูเอ็นได้ประกาศเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2030

สปท.มึนกรธ.เขียนที่มาส.ว.สับสน
นาย วันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือ เพื่อจัดทำรายงานข้อเสนอแนะ การร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา กมธ.การเมืองหารือ คุยกันไปคุยกันมา แต่ปรากฏว่ายังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบถึงเจตนารมณ์เเท้จริงในสิ่งที่คณะกรรม การร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เขียนเรื่องที่มา ส.ว. แบบเลือกไขว้ รูปแบบการเลือกจากตำบล อำเภอ จังหวัด มาถึงส่วนกลางเป็น แบบใด

ในที่ประชุมเรายังสับสน ว่าวิธีแบ่งกลุ่มสาขาอาชีพของ กรธ.จะให้ประเทศไทยมีกี่กลุ่มสาขาอาชีพจะเเบ่งอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าใครยึดอาชีพนั้นจริงๆ ตรวจสอบอย่างไรไม่ให้มีคนสวมรอย และการเลือกไขว้ จากตำบลมาถึงส่วนกลาง เลือกแบบไหน เริ่มอย่างไร หาจุดลงตัวของการเลือกไขว้อย่างไร วิธีการที่ กรธ.เขียนมายังดูสับสนอลหม่าน เรากังวล และเชื่อว่าจะเกิดการบล็อกโหวตในกลุ่มสาขาอาชีพ และกำหนดสเป๊กตัวบุคคลมาเป็นส.ว.ได้ อย่างไรก็ตาม กมธ.การเมืองกำลังรวบรวมปัญหาเพื่อคุยกันต่อวันที่ 20 ก.ย.นี้

ชี้มีช่องว่างเลือกไขว้อาชีพ
ด้าน นายวรรณธรรม กาญจนสุวรรณ สมาชิก สปท.ในฐานะเลขานุการ กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากที่ประชุม กมธ.การเมือง ให้ไปรวบรวมปัญหาการเลือกไขว้ส.ว. ที่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติยังไม่ชัดเจนตรงมาตรา 107 ที่ระบุว่า จะกำหนดมิให้ผู้สมัครในเเต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งหมายความว่ากลุ่มสาขาอาชีพเดียวกันเลือกเองไม่ได้ แต่อีกวรรค ในมาตราเดียวกันกลับเขียนว่า หรือจะกำหนดให้มีการคัดกรองผู้สมัครรับเลือกด้วยวิธีการอื่นใด ที่ผู้สมัครรับเลือกมีส่วนร่วมในการคัดกรองก็ได้ จุดนี้มันลักลั่นในตัวเอง

กร ธ.ไม่ได้เขียนสรุปว่าจะใช้เเค่วิธีเลือกไขว้เสียทีเดียว แต่อาจจะกำหนดด้วยวิธีการอื่นได้ ไม่เเน่ใจ กรธ.จะอธิบายเจตนารมณ์อย่างไร หรือตอนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะร่างกฎหมายลูกจะเข้าใจแบบไหน

เปรียบไร้ปัญญา-ตาบอด
นายวรรณธรรมกล่าวว่า ส่วนที่ กรธ.ให้เหตุผลว่าการเลือกไขว้ข้ามกลุ่มสาขาอาชีพ โดยไม่ให้กลุ่มเดียวกันเลือกกันเองจะป้องกันการบล็อกโหวตได้นั้น ตนขอเห็นเเย้ง เพราะการไม่ให้กลุ่มเดียวกันเลือกกันเองทำลายหลักการของตัวเเทนสาขาอาชีพ เช่น เกษตรกร ต้องข้ามห้วยไปเลือกกลุ่มทนายความหรือเเพทย์ จะทำให้กลุ่มสาขาอาชีพที่ตั้งขึ้นมาเป็นเพียงเสื้อคลุม ไม่สามารถอธิบายตัวตนเฉพาะด้าน หรือความต้องการรักษาผลประโยชน์ หรืออุดมการณ์ที่เเท้จริงแต่ละกลุ่มอาชีพ ช่องว่างนี้จะเป็นตัวร้ายต่อการเลือกไขว้ ให้เกิดซื้อขายข้ามกลุ่มหรือบล็อกโหวตได้ง่าย

“กลุ่มอาชีพ ที่เเข็งแกร่งกว่า มีขนาดใหญ่กว่าจะได้เปรียบ เช่น กลุ่มสภาหอการค้า กลุ่มแรงงาน กลุ่มเกษตรกร วิธีเลือกส.ว.แบบนี้ไม่ได้วัดความเป็นวิชาชีพที่เเท้จริง อาจทำลายความมีคุณค่าของส.ว.หลายสาขาอาชีพให้ไม่สมบูรณ์ การให้คนไม่เข้าใจธรรมชาติกันมาเลือกกันเเบบไม่รู้ ไม่ต่างจากการเลือกแบบ ไร้ปัญญา ตาบอด” นายวรรณธรรมกล่าว

ปชป.เตือนกรธ.อย่าเอาใจใคร
ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับว่า ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าว่าใครเป็นต้นร่างกฎหมาย ที่มีรายละเอียดและสาระสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ทั้งหมดเชื่อว่ากรธ. จะร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎ หมายลูกทุกฉบับยึดหลักการของรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติอย่างเคร่งครัด

ดัง นั้น ตนจึงขอเตือนกรธ.อย่าร่างกฎหมายลูกเพื่อตอบสนองเอาใจใครเป็นพิเศษ ขอให้ร่างอยู่บนพื้นฐาน รวมถึงสิ่งสำคัญจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างหลากหลาย เพื่อนำไปประกอบการร่างกฎหมายลูก โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีประสบการณ์ผ่านการเมืองมาก่อนควรรับฟังความคิดเห็น ยืนยันพรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้ความร่วมมือกรธ.และสนับสนุนให้คำปรึกษา หากกรธ.ต้องการรับฟังความคิดเห็น

เบรกรัฐโชว์ผลงานด้านกฎหมาย
นาย ราเมศกล่าวว่า ส่วนการเพิ่มโทษนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ขัดข้องในการพัฒนาพรรค การเมือง ในการเพิ่มโทษเอาผิดให้ทิศทางการเมืองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เห็นด้วยที่จะมีมาตรการป้องกันนักการเมืองที่คิดโกงการเลือกตั้งเข้าสู่ อำนาจ ได้รับโทษที่สูงกว่ากฎหมายเดิมกำหนด ที่สำคัญเห็นด้วยที่จะให้มีมาตรการที่รัดกุมป้องกันการเข้าสู่อำนาจ พรรคประชาธิปัตย์ไม่กลัวกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงขึ้น ขอให้ผู้มีอำนาจร่างกฎหมายให้เต็มที่ เพราะเราไม่ทำผิดกฎหมายแน่นอน

ส่วน การแถลงผลงานครบรอบ 2 ปีการทำงานของรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลงานในเรื่องการออกกฎหมายที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าประสบความสำเร็จในการออกฎหมายกว่า 187 ฉบับนั้น เรื่องที่บอกว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการออกกฎหมายนั้นไม่ได้ชี้ชัดว่า เป็นความสำเร็จของรัฐบาล เพราะรัฐบาลมาจากการรัฐประหารสามารถสั่งให้สนช.ออกกฎหมายกี่ฉบับก็ได้ และยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับเป็นปัญหาที่จะใช้บังคับกับประชาชน ซึ่งให้อำนาจรัฐแต่ตัดสิทธิเสรีภาพประชาชน เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นผลงานของรัฐบาล

“สดศรี”แนะเขียนโทษใบดำให้ชัด
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงโทษเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งหรือ “ใบดำ” ว่า เจตนาของกรธ.ในการเขียนโทษใบดำไว้ในมาตรา 98 (11) ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ เพื่อต้องการเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิตสำหรับผู้ที่เคยต้องคำ พิพากษาถึงที่สุดว่าทุจริตเลือกตั้ง แต่มาตราดังกล่าวถือว่ายังไม่มีความชัดเจนเพราะเขียนไว้กว้างเกินไป กรธ.ควรระบุให้ชัดว่าฐานความผิดอย่างไรจึงจะเข้าข่ายโทษใบดำนี้ เนื่องจากเมื่อเป็นโทษเกี่ยวกับการเลือกตั้งและเป็นเรื่องคุณสมบัติการลง สมัครเลือกตั้ง กกต.จำเป็นที่ต้องเขียนไว้ในกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เพราะกกต.เองต้องทำหน้าที่รับสมัคร

หากโทษความผิดยังไม่ ชัดเจนแล้วไปตัดสิทธิผู้สมัครก็อาจทำให้เกิดการส่งฟ้องศาลฎีกาเพื่อให้ วินิจฉัย รวมทั้งเมื่อเวลาส่งสำนวนคดีทุจริตเลือกตั้งไปให้ศาลพิจารณาต้องมีบทบัญญัติ ในการระบุฐานความผิดและบทลงโทษได้ หากไม่ชัดเจนจะทำให้เกิดความยุ่งยากและอาจเป็นสิ่งที่ทำให้กกต.โดนเล่นงานใน ภายหลัง ดังนั้น ถ้าต้องการโทษใบดำจริงๆ ต้องเขียนให้ชัดจำแนกโทษใบดำออกมาเป็นเรื่องๆ

ชี้คดี”ธีรวัฒน์”อาจต้องให้กต.สอบ
นาง สดศรียังกล่าวถึงกรณีผู้ตรวจการ แผ่นดินชี้มูลนายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงปมชู้สาวว่า กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตว่าพฤติกรรมที่กกต.ถูกชี้มูลเกิดขึ้น ในช่วงเวลาใด ถ้าเกิดขึ้นสมัยที่เป็นกกต.แล้วทั้งเรื่องรับผลประโยชน์หรือจริยธรรมก็อาจ เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และสภา แต่หากเป็นพฤติ กรรมที่เกิดขึ้นสมัยเป็นผู้พิพากษานั้นจะถือว่าอำนาจการสอบสวนเป็นของคณะ กรรมการตุลาการ (กต.) หรือไม่ เพราะกต.มีหน้าที่ตรวจสอบผู้พิพากษาที่กระทำความผิด สามารถให้ออกจากตำแหน่งและคำสั่งถึงที่สุด หน่วยงานอื่นก้าวล่วงไม่ได้

อีก ทั้งก่อนที่จะมาเป็นกกต.ได้ต้องผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและ ความเห็นชอบของส.ว. จึงอาจเป็นคำถามว่าเมื่อตอนพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมนั้นเป็นไปอย่าง ละเอียดหรือไม่ ดังนั้น กรณีนี้น่าจะเป็นหน้าที่ของกต. แม้จะเกิดเรื่องร้องเรียนภายหลังที่กกต.คนนี้ออกจากตำแหน่งผู้พิพากษาแล้วก็ ตาม

ทั้งนี้ การที่เกิดเรื่องดังกล่าวในช่วงที่มีกระแสว่ากกต.มีปัญหาภายในนั้น อาจเกิดมาจากคนในหรือคนในวงการ ส่วนการสับเปลี่ยนตำแหน่งประธานนั้นควรรอช่วงเวลาที่เหมาะสม รอให้รัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้ 5 เสือต้องมีความหนักแน่น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้เซ็ตซีโร่กกต.ได้

นปช.ซัดถอดบิ๊กโอ๋-40 พท.จ่อคิว
นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ถึงกรณีสนช.ลงมติถอดถอนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม กรณีใช้อำนาจล้วงลูกการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ให้เว้นวรรคการ เมือง 5 ปี ว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยกมาเป็นข้ออ้างกล่าวหาว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมไม่ได้ขึ้นตรงกับรมว.กลาโหม เป็นความเหลวแหลกอย่างถึงที่สุด ถ้าการแต่งตั้งปลัดกระทรวงผิดแล้วคนร่วมโหวตต้องผิดด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก และพล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งร่วมออกเสียงต้องมีความผิดด้วย

ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประนีประนอมการบริหารกองทัพ โดยให้รมว.กลาโหมแต่งตั้งได้แต่ตำแหน่งปลัดกลาโหม ส่วนตำแหน่งในเหล่าทัพต่างๆ เป็นอำนาจและให้เกียรติผู้บัญชาการเหล่าทัพได้เสนอแต่งตั้ง แต่พล.อ.อ.สุกำพลกลับถูกเล่นงานทางการเมือง การถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล แสดงถึงอนาคตของอดีต 40 ส.ส.ที่เป็นต้นเรื่องเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม คงถูกจัด การ แล้วลามไปสู่อดีตส.ส.กว่า 300 คนในพรรคร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สิ่งนี้เป็นไปตามธงของผู้มีอำนาจ ดังนั้น อดีตส.ส.ที่เป็นต้นเรื่องเสนอต้องสู้ หากนิ่งเฉยแล้วย่อมมีแนวโน้มเข้าไปสู่ลานสังหาร

เย้ยบิ๊กพณ.ไม่กล้าเซ็นยึดทรัพย์”ปู”
นาย จตุพรกล่าวถึงกรณีหัวหน้า คสช.ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งให้อำนาจกรมบังคับคดียึดทรัพย์ในความรับผิดทางละเมิดโครงการรับ จำนำข้าวว่า ขบวนการยั่วยุเร่งให้ทำสำเร็จ แต่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กับน.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไม่ลงนามในคำสั่งให้กรมบังคับคดีไปดำเนินการยึดทรัพย์นั้น แสดงถึงการปัด ไม่ต้องการรับผิดชอบ ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คงต่อสู้ตามกฎหมาย คงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองตามกระบวน การยุติธรรม ซึ่งมีแต่แนวทางร้องหาความยุติธรรมได้เท่านั้น

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า แม้แต่รมว.พาณิชย์ยังไม่กล้าลงนามเอง แต่มอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงลงนามแทน ส่วนปลัดกระทรวงนั้นขณะนี้เหลือเวลาทำ งานไม่ถึงสองสัปดาห์ก็ถึงกำหนดเกษียณ ราชการแล้ว จะยอมเซ็นหรือไม่ ใครจะไป ยอมทำเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติภูมิของตนเองและวงศ์ตระกูลในเวลาที่เหลือ ไม่ถึงสองสัปดาห์

ท้าใช้มาตรา 44 จัดการเลย
นพ.เหวงกล่าว ว่า อีกทั้งน.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ว่าที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า หลังเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ หากมีการบังคับให้ลงนามเรียกค่าเสียหายการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ก็อาจถอดใจลาออก นี่ย่อมยืนยันว่า ข้าราชการประจำของกระทรวงพาณิชย์เองคงรู้เต็มอกว่าเรื่องนี้ไม่เข้าข่ายที่ จะทำได้ตามกฎหมาย ทั้งหมดประจานชัดเจนว่าเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่กับน.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อเอา ให้ตายให้ได้ ทำไมคสช.ไม่รอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กำลัง พิจารณาคดีนี้อยู่มีคำพิพากษาออกมาก่อน ซึ่งคงอีกไม่นานนัก แล้วค่อยบังคับเอาในเรื่องค่าเสียหาย

หากศาลพิพากษา ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์มีความผิดจริงจะดำเนินคดีต่อได้ทั้งทางแพ่งและ ทางปกครอง หรือ คสช.กลัวว่าศาลอาจจะพิพากษายกหรือไม่ หรือคสช.กลัวว่าจะหมดอายุความบังคับตามกฎหมายตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้า นี้ ถ้าคสช.ประสงค์จะเอาให้สาแก่ใจจริงๆ ก็เดินหน้าใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จของรัฏฐาธิปัตย์ตามมาตรา 44 ประกาศยึดทรัพย์น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปเลย แต่ยึดทรัพย์ไปแล้วประชาชนไทยเขาจะตอบรับอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พท.จี้เชือดคนเอี่ยวปรส.ด้วย
นาย วรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากใช้มาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคับคดียึดทรัพย์ในความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ก็ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้คำสั่งทางปกครองยึดทรัพย์พวกที่เกี่ยวข้อง ในคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่มีมูลค่าความเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทด้วย เพราะตัวละครที่เกี่ยวข้องก็ติดคุกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่เข้าใจเลยว่าในคดีปรส.นั้น ผู้กำหนดนโยบายกลับไม่โดน มีเพียง ผู้ปฏิบัติที่โดน ซึ่งต่างจากคดีจำนำข้าวอย่างสิ้นเชิง ที่ผู้กำหนดนโยบายโดนเล่นงานมากขนาดนี้ น่าแปลกที่ประเทศนี้ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน แต่การดำเนินการกลับสองมาตรฐาน หากพล.อ.ประยุทธ์ไม่ดำเนินการในลักษณะเดียวกันถือว่ามีเจตนาเล่นงานแต่คนของ พรรคเพื่อไทยฝ่ายเดียว

ลั่นไม่หนักใจปมนิรโทษ
นาย วรชัยกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่สนช.มีมติถอดถอนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ออกจากตำแหน่งรมว.กลาโหม กรณีแทรกแซงการปฏิบัติราชการในการแต่งตั้งนายพลดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง กลาโหมนั้น ก็ไม่เกินความคาดหมายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอดีต 40 ส.ส. พรรคเพื่อไทยที่ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการสอบ สวนเอาผิดกรณีเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น ยืนยันว่าไม่หนักใจเพราะเราทำตามหน้าที่ ทำตามข้อบังคับของสภาฯ หากป.ป.ช.ขยายขอบเขตตรวจสอบก็ชัดเจนว่าป.ป.ช.มีเจตนาทำลายพวกเรา ทำแบบนี้ประเทศก็มีแต่ความขัดแย้งไม่จบสิ้น และเมื่อมีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยจะเกิดสถานการณ์ทวงคืนความยุติธรรมกัน อีก เหตุการณ์ความวุ่นวายจะเกิดซ้ำซาก พวกท่านยอมหรือ

รองผู้ว่าฯตรังลุยชนปลัดมท.
เมื่อ วันที่ 17 ก.ย. นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ส่งไลน์ระบุเป็นจดหมายถึงเพื่อนข้าราชการกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ 2) ว่า ตามที่ตนได้นำเรียนเพื่อนๆ ในเรื่องการถวายฎีกา และการฟ้องศาลปกครองเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ครั้งล่าสุด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ก.ย. นั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทยชี้แจงผ่านสื่อต่างๆ กลืนน้ำหมึกตัวเองในเรื่องการนับอายุราชการทวีคูณผู้ปฏิบัติงานจังหวัดชาย แดนภาคใต้

ขอเรียนว่าการนับอายุราชการทวีคูณผู้ปฏิบัติงาน จังหวัดชายแดนภาคใต้ในประกาศของกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ทุกครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดนี้ให้นำเอาระยะเวลาในการปฏิบัติราชการในจังหวัดชายแดน ภาคใต้มาคิดคำนวณเป็นระยะเวลาในการคัดเลือกด้วย และระเบียบสำนักนายกฯ ก็ออกมาให้ถือปฏิบัติทุกกระทรวง และในวันสอบวิสัยทัศน์กองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ก็คำนวณอายุราชการให้แต่ละคนลงนามรับทราบระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของตนเอง ระยะเวลาของตนที่ให้ลงนาม รับทราบคือ 8 ปี 4 เดือน อาวุโสอันดับ 1 ของรองผู้ว่าฯ ในประเทศไทย

ในวันสอบวิสัยทัศน์ที่กระทรวง มหาดไทยเมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา ตนได้ถ่ายเอกสารการนับอายุราชการของแต่ละคนไว้ในโทรศัพท์มือถือ เพื่อจะได้ให้จำได้ ตนนักเลงพอที่บอกให้ทราบล่วงหน้า ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลัดกระทรวง ที่ตนเคารพท่านมากในความทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ชื่นชมท่านมาก เมื่อครั้งที่ท่านดำรงตำแหน่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งตำแหน่งรองผู้ว่าฯ และตำแหน่งผู้ว่าฯ ยะลา และสงขลา ท่านเติบโตและได้ดีมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านเคยพูดว่าจะดูแลผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างดี และคนที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ก็เสี่ยงต่อความตายทุกวินาที

ท่านอย่า ให้คนที่เคารพนับถือท่าน ต้องผิดหวังในตัวท่าน ตนยืนยันว่าปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีมาก แต่ท่านจะเสียหาย เพราะความเกรงใจลูกน้องใกล้ตัวของท่านที่มีความความบ้าอำนาจ ขาดคุณธรรม และมีอคติโดยไร้เหตุผลในกระทรวง ตนไม่ได้บังอาจสู้กับ ท่านปลัด แต่ต่อสู้กับความมักง่าย เอาแต่ได้ เอาแต่ใจ ขาดคุณธรรมของทีมงานในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย

“ขอยืน ยันเป็นสัญญาประชาคมว่า ถ้าผมชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ผมจะลาออกจากราชการทันที เพื่อให้สังคมได้ตระหนักว่าผมไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อศักดิ์ศรีของคนมหาดไทย และความยุติธรรมในสังคมไทย และเพื่ออุทิศคุณความดีให้แก่ผู้เสียชีวิตในการปฏิบัติราชการในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองผู้ว่าฯ ยะลา นายอิศรา ทองธวัช เพื่อนรักของผม ถ้าผมแพ้จะไม่ลาออกจากราชการ แต่จะอยู่ให้ท่านดำเนินการทั้งทางวินัย ทางแพ่ง ทางอาญา” นายสายัณห์ระบุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน