บิ๊กตู่ เผย จีดีพี โตพุ่งพรวด! เรื่องนี้รบกวนบอกต่อ ลั่น! รัฐไม่เคยเอื้อเอกชนเป็นพิเศษ

บิ๊กตู่ – วันที่ 24 สิงหาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2561 (Prime Minister’s Export Award 2018) จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับผู้ประกอบการว่า ทุกคนทราบดีโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำมากได้น้อย เพราะ เราเป็นประเทศเกษตรกรรม ต้องพึ่งพาธรรมชาติ จึงต้องมาร่วมมือกันคิดว่า จะทำอย่างไร ให้ภาคการเกษตรทำน้อยแต่ได้มาก เช่นการเพิ่มมูลค่า ยอมรับว่าเรามีปัญหาทับซ้อนมานาน จำเป็นต้องแก้ไข แต่อาจส่งผลกระทบต่อบางฝ่ายบ้าง เพราะจะมีคนทั้งได้และเสียประโยชน์ รัฐบาลจะดูแลคนทั้งประเทศ ทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกพื้นที่ จะเลือกดูแลเฉพาะธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คงไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจวันนี้ จีดีพี และการส่งออกดีขึ้น แต่บางจังหวะการส่งออกอาจลดลง แต่ไปสูงขึ้นในการค้าขายออนไลน์ จึงต้องสร้างการรับรู้ ไม่เช่นนั้น จะถูกวิจารณ์ว่า การส่งออกลดลง เพราะเมื่อรวมกันแล้ว ก็ยังสูงขึ้น เราเข้าใจว่าต่างคนต่างคิด ต่างคนก็ต่างออกมาวิจารณ์ จนเห็นว่าสิ่งที่ตนพูดนั้น ไม่จริง ยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เพราะตนดูแลอยู่ข้างบนตามลำดับ ทุกอย่างต้องมีก้าวแรก เพราะถ้าก้าวผิด ก็จะผิดไปตลอด เราต้องดึงการก้าวผิด มาสู่จุดเริ่มต้นใหม่ ที่เคยเดินเลี้ยวไปมา ก็ขอให้หยุด กลับมาเดินใหม่ เพราะตนได้ใช้แนวทางนี้มาตลอด ควบคู่กับหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุ มีผล มีภูมิคุ้มกัน ใช้จ่ายอย่างพอประมาณ

“ประเทศจะอยู่ได้ต้องได้รับความร่วมมือ ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชนทุกกลุ่ม ภาครัฐจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกฎหมาย และระเบียบให้ทันสมัย ถ้าใช้กฎหมายเดิมแล้วทำแบบเดิม ก็จะไม่ทันกับสถานการณ์ จะเห็นว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งประชาชนต้องได้ประโยชน์ มิเช่นนั้นจะถูกมองว่ารัฐเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจ เพราะวันนี้มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์เอกชน ยืนยันว่าไม่ได้เอื้อ เวลานี้มักเกิดความสับสนในหลายเรื่อง และสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง การเป็นประชาธิปไตยในวันข้างหน้า จึงอยากบอกอีกครั้งว่า เราพยายามทำมาตรการต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนอาจยังไม่เข้าใจ ไม่เรียนรู้มากนัก จึงขอให้ผู้ประกอบการช่วยกันสร้างความเข้าใจ ว่าเรามีกฎหมาย และกติกาที่ต้องทำตามสากลด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือสิ่งที่เรามองอนาคต 20 ปี ประเทศจะเป็นอย่างไร มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ประชาชนฐานรากมีรายได้สูงขึ้น อย่างน้อยต้องพ้นเส้นความยากจนให้ได้ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องรู้ตรงนี้ด้วยว่ารัฐบาลจำเป็นต้องทำทุกมาตรการ จึงขอให้ภาคเอกชนเข้าใจว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้ ทำอย่างไรคนที่เกิดในวันนี้ จะมีอนาคตที่มั่นคงในอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งนี้คนที่มีทุนลงทุน มีโรงงานอะไรต่างๆ ย่อมมีสัดส่วนได้รับประโยชน์สูงกว่า เป็นหลักธรรมชาติการค้าเสรี ต้องช่วยตนอธิบายตรงนี้ และผู้ประกอบการก็มีสัดส่วนดูแลลูกจ้างพนักงาน แต่กลายเป็นว่าแบ่งแยกกันไป สังคมก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้มาตลอดว่า คนรวยคือคนรวย คนจนคือคนจน ไม่ใช่ ต้องอธิบายว่าเราดูแลคนรวย คนจนอย่างไร

บริษัทหนึ่งบริษัทหรือจะเครือบริษัทก็ตาม ไม่สามารถจะผูกขาดกับคนทั้งประเทศได้ ผมพูดในหลักการของผม ไม่ว่าจะใครก็ตาม ผมไม่ได้ไปเข้าข้างใครทั้งสิ้น แต่อย่าลืมว่า แต่ละบริษัทมีเครือข่ายของท่าน ไม่ใช่จำนวนทั้งประเทศ มีสหกรณ์ ร้านค้า วิสาหกิจชุมชนอีกมากมาย ที่พวกนี้ต้องแข็งแรงขึ้น ให้มีความสามารถเท่าหรือเหมือนกับบริษัท นั่นแหละ เกษตรกรข้างล่างถึงจะเกิดการแข่งขัน พัฒนาตัวเอง ผมให้นโยบายในครม.ไปแล้ว ทำยังไงถึงจะทำให้เกษตรกรส่วนนึงมาอยู่ในระบบที่มีการขนส่งของเขาเอง จะได้ไม่ถูกว่าดูแลแต่ข้างบน ดูแลแต่คนรวยไม่ดูแลประชาชน วันนี้ผมเจอปัญหานี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็ช่วยผมคิดหน่อยแล้วกัน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ใครจะเป็นรัฐบาลก็ยังไม่ทราบ แต่ตนจะเตรียมการทั้งหมดไว้ เพื่อให้การพูดคุยในอาเซียนด้วยหลักการไทยแลนด์พลัสวัน รวมถึงเรื่องอีอีซี ไทยแลนด์ 4.0 อย่างไรก็ตาม ตนจำเป็นต้องพูดกับผู้ประกอบการ เพราะ ท่านเป็นแกนสำคัญให้กับเรา ตนอาจจะพูดมาก 4 ปี คุณไม่คิดว่าตนเหนื่อย หรือ ตนเหนื่อยนะ ไม่ใช่พูดแล้วตนไม่ได้ตาม ทุกเรื่องตนมีหลักฐานไว้หมดว่า พูดอะไรไปบ้างแล้ว ที่พูดเยอะๆ ข้าราชการก็ต้องเข้าใจ หรือในรายการคืนความสุข ทุกวันศุกร์ก็แล้วแต่ ถือเป็นการสั่งงานของตนไปด้วย สั่งในที่ประชุมก็เยอะพอแล้ว เขาต้องเร่งทำ ถ้าติดกฎหมายก็ต้องมาดู หลายอย่างก็ติดด้วยกฎหมายเดิมจะเห็นว่ากฎระเบียบออกมามากมายในช่วงรัฐบาลนี้ แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อท่าน กับประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นประโยชน์กับตน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามเกษตรกรคิดแต่เรื่องน้ำ เรื่องราคาผลผลิตปลายทาง แต่ต้นทางไม่รู้ ใครเป็นรัฐบาลต้องไปหามา โดยไม่รู้ว่าเงินทั้งหมดมาจากภาษี อย่างนี้ไม่ได้สร้างการรับรู้แบบนี้ไม่ได้ ส่วนการประกันราคาข้าวของรัฐบาล โดยตั้งราคาจากราคาเกณฑ์เฉลี่ย 3 ปีแล้วหารออกมา ไม่ใช่ตั้งส่งเดชอะไรก็ได้ จะตั้งหมื่นแปด หมื่นเก้าไม่ใช่ ฝากช่วยกันชี้แจงด้วยแล้วกัน ไม่เช่นนั้น ก็จะติดอยู่เรื่องนี้ เดี๋ยวคอยดู มีการหาเสียงเมื่อไหร่เรื่องนี้ก็จะกลับมาที่เดิม ทุกอย่างก็ถอยหลังกลับมาที่เก่าหมด

คำว่าประชานิยม ไม่ใช่ผมพูดเอง ไม่ใช่ตำราใครด้วย ผมดูตำราต่างประเทศ เขาสรุปมาแล้วว่า ประชาธิปไตยข้อเท็จจริง ก็คือ ประชานิยมนั่นแหละ เพราะ มีการเลือกคนที่ชื่นชม ชื่นชอบ ทำให้ชอบมันก็ต้องให้ แต่ประชานิยมถ้าจะทำต้องมีประโยชน์ ไม่มีผลต่อระบบการเงินการคลังของประเทศต่อไปในอนาคต ไม่ใช่ว่าเงินเกินครึ่งของงบประมาณมาทำตรงนี้ทั้งหมด รัฐบาลยังต้องทยอยให้ ไม่ใช่ให้โครมให้ไปทั้งหมดแล้วได้กลุ่มนี้อยู่กลุ่มเดียวอยู่นั่นแหละ กลุ่มอื่นก็ไม่ดู ยังมีคนจนอีกตั้งเยอะตั้งแยะ

แล้วขอให้เข้าใจด้วย ที่พูดขอให้สื่อไปถึงประชาชนแล้วบรรดานักการเมืองต่างๆ ที่พยามจะพูดอยู่ตอนนี้ไปบิดเบือนทุกอย่าง ที่ดีๆ เขาก็มี ที่ไม่ดีมันก็เยอะ ผมก็เกรงว่าประชาชนจะเข้าใจผิดไปอีก แล้วจะกลับมาแบบเดิม เพราะคนรวยๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ ไม่มีเวลา แต่คนรายได้น้อยเขาจะสนใจเรื่องการเมือง สนใจเรื่องการเลือกตั้ง แล้วถ้าบิดเบือนไม่เข้าใจกันแบบนี้ ใครเป็นคนเลือกตั้ง แล้วจะกลับไปสู่ตรงไหน คิดกับผมแบบนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวผมจะเป็นหรือใครจะเป็น ไม่ต้องกลัว มันอยู่ที่ประชาชนเลือก ถ้าเราไม่เข้าใจกันแบบนี้ผลการเลือกตั้งจะออกมายังไง ก็คิดเอาแล้วกัน แล้วผมก็ไม่สนใจใครจะว่าอะไรผม วันนี้เยอะไปหมดทุกวัน มาบอกปิดกั้นปิดตรงไหน ด่าโครมๆ พูดอะไรบิดเบือนหมด ผมก็เฉยๆ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า อย่ามาบอกว่าตนปิดกั้นการเป็นประชาธิปไตย แต่บ้านเมืองมันจะวุ่นวายไหม ไปคิดเอาแล้วกัน ถ้าวุ่นวายกันต่อ วันหน้าไปแก้กันเอาเอง ตนพยายามเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าวุ่นวายกันอยู่แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของท่าน มีกลไกและกฎหมายออกมาเยอะแยะ ตนไม่ต้องไปสั่งใคร กฎหมายดีทุกตัว วันนี้ปัญหาเยอะทุกวัน ถ้าข้างล่างไม่เข้าใจก็มีปัญหาทุกเรื่อง กับสื่อตนก็ไม่เคยไปตรวจสอบหรือปิดกั้น แต่อะไรที่มันบิดเบือน กลไกที่ตรวจสอบมีอยู่แล้ว หรือบิดเบือนจนเกินไปจนมีคดีฟ้องร้องก็ว่ากันไป แต่คนส่วนใหญ่มักจะเกรงใจไม่อยากเป็นปัญหามีคดีความกับสื่ออะไรต่างๆ เสียเวลา

“แต่วันนี้ผมคิดว่า ผมต้องดำเนินการแล้ว เหมือนที่คนด่าพวกท่าน ท่านก็ใช้กฎหมายหมิ่นประมาท หน่วยงานเขาก็ต้องรักษาศักดิ์ศรี ถ้าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น แล้วไปว่าเขา เขาก็มีสิทธิ์ในการป้องกันตัวของเขาเหมือนกัน สื่อเองก็ต้องระวังตัว ผมไม่ได้ขู่สื่อ เดี๋ยวกลายเป็นการขู่สื่ออีกทุกเรื่อง อย่างใช้คำว่าปัดเหมือนกลับว่าปฏิเสธความจริง พอชี้แจงดีขึ้นบอกว่าฟุ้ง ซึ่งสื่อคือตัวชี้นำ วันนี้ก็บอกว่านายกเป็นคนใจร้อนพูดไม่เข้าหูใคร อาทิตย์ไหนถ้าผมไม่อ่านหนังสือพิมพ์เลยน่าจะมีความสุขดี ตอนนี้กำลังคัดออกว่าฉบับไหนผมไม่อ่าน ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศเลย น้อยมากทุกคอลัมน์

เดี๋ยวจะถามประชาชนว่าหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเชื่อมั่นมากที่สุด แล้วขอให้ตอบมาด้วย ไอ้เรื่องที่เสนอครั้งเดียวจบไปพาดหัวหนึ่ง แล้วจะดีกับการค้าการส่งออกของเราอย่างไร การลงทุนของเราจะเกิดขึ้นได้ไหม จะไม่รับผิดชอบอะไรอย่างนี้ไม่ได้ ผมไม่ได้กล่าวว่าของใคร ถ้าผมใช้อำนาจของผมจริงๆ ไม่มีหรอกไอ้เรื่องพวกนี้ ยังไม่เคยทำแบบนี้สักครั้ง พูดไปก็เสียอารมณ์ แต่ทำอะไรต้องมีเหตุมีผลชี้แจงได้ ส่วนสื่อดีๆ นักการเมืองดีๆ ที่มีอยู่ก็ต้องขอขอบคุณ” นายกฯกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน