สิงห์อมควันสะเทือน! “นายกฯตู่” กำลังชงขึ้นภาษีบุหรี่จริง!

14.15 น.วันที่ 2 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังการประชุมครม.ถึงกระแสข่าว ที่กระทรวงการคลัง จะเสนอคณะรัฐมนตรี ขึ้นภาษีบุหรี่ ซองละ 2 บาท เพื่อนำรายได้ มาสนับสนุน การดูแลสุขภาพประชาชนของกระทรวงสาธารณสุข ว่า กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง

โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถาม แหล่งข่าวแวดวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขฯ เพื่อเก็บภาษีบุหรี่ซิกาแรตเพิ่มซองละ 2 บาท มาให้กองทุนบัตรทอง เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะไม่ต่างจาก พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกรุงเทพมหานคร

อาจจัดเก็บภาษีการค้าปลีกยาสูบมวนละ 10 สตางค์ ซึ่งคิดว่าร่างกฎหมายน่าจะเขียนคล้ายกันไม่ต่างกันมาก และการนำเอาเงินมาช่วยในเรื่องของกองทุนสุขภาพก็มองว่าเกิดประโยชน์ เพราะอย่างไรในช่วงเดือนกันยายน 2562 บุหรี่ทุกยี่ห้อราคาขายปลีกจะต้องเกินกว่า 60 บาทแน่นอน เนื่องจากอัตราภาษีตามมูลค่าจะเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 40 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องขยับราคาอยู่แล้ว

“ช่วงกันยายน 2562 บุหรี่ทุกยี่ห้อต้องขึ้นราคาทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้น การเก็บเพิ่มอีกซองละ 2 บาท จึงไม่ได้แตกต่างเลย หากสามารถเก็บแล้วเข้ากองทุนสุขภาพในวันนี้เลย ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี เชื่อว่าทางควบคุมยาสูบคงเห็นด้วยแน่นอน แต่สิ่งที่คิดว่าควรเพิ่ม คือ อาจจะต้องมีการเก็บภาษียาเส้นเพิ่มด้วยหรือไม่” แหล่งข่าวแวดวงสาธารณสุข กล่าว

แหล่งข่าวแวดวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า จริงๆ แล้ว การจัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขฯ จะสำเร็จไม่ได้ หากกระทรวงการคลังไม่อนุมัติ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง และก่อนจะร่างกฎหมายก็มีการส่งเรื่องให้พิจารณาว่า ทำได้หรือไม่ การที่ทำในส่วนของการจัดเก็บภาษีบุหรี่ เพราะยังมีกรอบที่ทำได้ และไม่ซับซ้อนเท่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แต่ไม่ใช่ว่าเลือกปฏิบัติ เพราะหากตรงนี้สำเร็จก็จะสามารถทำต่อในตัวอื่นๆได้ แต่ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจว่า การทำตรงนี้เป็นเรื่องดีในแง่ป้องกันสุขภาพของประชาชน เพราะการขึ้นภาษี เมื่อบุหรี่แพงขึ้นก็ลดนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ส่วนงบที่เข้าไปบัตรทอง ก็ไม่ใช่จะมากระจุกที่กระทรวงสาธารณสุข เพราะงบบัตรทอง ต้องยอมรับว่าแม้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอ

และเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงบริการ และประสิทธิภาพต่างๆ งบตรงนี้จะช่วยได้และกระจายให้กับโรงพยาบาลสังกัดอื่นๆ ทั้งมหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ฯลฯ ก็จะได้งบส่วนนี้ ขณะที่โรงพยาบาลก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน