‘หม่อมอุ๋ย’ แตกหักนายเก่า! ลั่น 8 ข้อ พอแล้ว ไม่เอาประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกต่อไป

‘หม่อมอุ๋ย’ อดีตรองนายกฯ – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานสถาบันคึกฤทธิ์ ปราโมช และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สมัยรัฐบาล คสช. เผยแพร่บทความ “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก” โดยระบุว่า

“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาเพื่อปูทางให้พลเอก ประยุทธ์ ได้สืบทอดอำนาจต่อไป ซึ่งเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แต่พลเอก ประยุทธ์ ก็กระทำการที่ไม่สง่างามเท่าใดนัก

กล่าวคือในระยะแรกใช้อำนาจทางกฎหมายที่มีอยู่ห้ามพรรคการเมืองอื่นหาเสียงกับประชาชน แต่ใช้การประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นที่แฝงตัวในการหาเสียงทั่วประเทศ และอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมให้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมทุกท้องถิ่นที่คณะรัฐมนตรีออกไปประชุมในจังหวัดต่าง ๆ เป็นการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่นเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีในสังกัดที่เป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่แฝงตัวในการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอีกด้วย เป็นการสร้างสภาวการณ์ที่ได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา

และที่น่าเกลียดมากคือ การใช้งบประมาณแผ่นดินในการสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและพรรคการเมืองฝ่ายตน ดังที่ประกาศเป็นโครงการแจกเงินหลายประเภทในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 ก่อนเริ่มหาเสียงเพียง 1 สัปดาห์ และในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 ถึง ก.ย. 2562

ซึ่งเป็นช่วง เวลาที่คาบเกี่ยวกับการหาเสียง การลงคะแนนเสียง และการตั้งรัฐบาล โดยไม่รู้สึกละอายว่านำเงินของประชาชนไปใช้หาเสียง อีกทั้งยังปฏิเสธอย่างหน้าไม่อายว่าโครงการนั้นไม่ใช่โครงการประชานิยม เป็นลักษณะของคนที่ต้องการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าได้เปรียบคู่ต่อสู้มากแล้ว จึงจะกล้าลงไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้ ไม่น่าจะเป็นชายชาติทหารได้เลย

ผมเห็นการกระทำที่เอาเปรียบคู่ต่อสู้อย่างไม่ละอายเช่นนี้แล้ว ก็ต้องการที่จะลดความได้เปรียบของฝ่ายพลเอก ประยุทธ์ ลงเพื่อให้มีการแข่งขันในการหาเสียงที่เป็นธรรมขึ้น จึงตัดสินใจ เขียนบทความนี้ เพื่อให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติหากพลเอก ประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ผมมี 8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

1. ในระยะเวลา 3 ปีหลังของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ รัฐบาลกระทำการที่ขาดวินัยทางการคลังอยู่ตลอดเวลา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อขาดดุลประจำปีเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว ก็ใช้วิธีอนุมัติงบประมาณที่มีผลผูกพันไปในอนาคต

เท่ากับนำเงินรายได้ในอนาคตมารองรับโครงการจ่ายเงินที่อนุมัติในวันนี้ จนถึงปีงบประมาณปัจจุบันมีการผูกพันงบประมาณไปในระยะ 5 ปีข้างหน้าถึง 1,178,275 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดใน ประวัติศาสตร์ งบผูกพันที่สูงที่สุดเป็นของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมของประเทศที่ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหลายปี จึงต้องตั้งเป็นงบผูกพันไว้ ก็เป็นที่ยอมรับได้

แต่งบผูกพันที่สูงเป็นอันดับสองเป็นของกระทรวงกลาโหม จำนวนสูงถึง 177,294 ล้านบาท (ในขณะที่งบประจำปีเป็นเพียง 227,000 ล้านบาท) เป็นเรื่องที่ดูแล้วขาดวินัยการคลังอย่างน่าเกลียด นอกจากการสร้างเรือดำน้ำซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี (ประมาณ 30,000 ล้านบาทเศษ)

และยานยนต์บางประเภทแล้ว อาวุธต่างๆ ไม่ได้ใช้เวลานานในการสร้าง ไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นงบผูกพันแต่อย่างใด สามารถรอตั้งเป็นงบประจำปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวะที่การคลังขาดดุลต่อเนื่องมานับสิบปีแล้ว จำเป็นที่เราต้องประหยัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทยอยจัดซื้อเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่าก็ไม่น่าจะซื้อ เช่น กรณีเรือดำน้ำ เป็นต้น

หากพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก็ย่อมจะเลือกบุคคลที่โอนอ่อนผ่อนตามคำสั่งของตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง งบประมาณก็คงจะขาดดุลเพิ่มขึ้นและผูกพันมากขึ้น หนี้สินก็จะพอกพูนขึ้นจนทำให้ฐานะการคลังของประเทศอ่อนแอลง

2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คน ได้ร่วมกันกระทำการที่ไม่โปร่งใส เพื่อจะแอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมา ด้วยวิธีการที่รวมหัวกันเพิ่มบทบัญญัติจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในการพิจารณาพระราชบัญญัติปิโตรเลียม วาระที่ 2 ของกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆ ที่ในการพิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ.นี้ในขั้นหลักการในวาระ ที่ 1 ไม่มีหลักการในเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไว้เลย แต่ได้ใช้กลเม็ดทางกฎหมายเพิ่มเรื่องใหม่เพิ่มเติมขึ้นในวาระที่ 2 จนสำเร็จ

เป็นการร่วมมือกันระหว่างกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารเป็นเสียงข้างมาก กับ รัฐบาลซึ่งแอบมีมติลับให้เพิ่มบทบัญญัติที่เป็นหลักการใหม่นี้ เป็นวิธีการที่แอบทำโดยไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน โดยมีความตั้งใจที่จะให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ และในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน จะให้กรมพลังงานทหารเป็นผู้บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน

ก่อนที่จะถึงการพิจารณาวาระที่ 3 ของ สนช. เพื่อรับรองร่าง พ.ร.บ.ฯ ที่ผ่านการพิจารณาวาระที่ 2 มาแล้ว ผมได้ใช้โอกาสในช่วงเวลาที่เหลือไม่กี่วันทำหนังสือเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ตลอดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ ชาติ หากอนุมัติให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้ ปรากฏว่าสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นถึงผลเสียที่จะตามมา จึงมีมติให้ตัดบทบัญญัติส่วนที่เพิ่มใน พ.ร.บ.ฯ ที่เกี่ยวกับบรรษัทน้ำมันแห่งชาติออกไปทั้งหมด นับว่าเป็นบุญของประเทศชาติ

แม้ว่า สนช. จะหยุดยั้งเรื่องนี้ไว้ได้แล้ว แต่กลุ่มบุคคลที่เป็นต้นคิดในเรื่องนี้ก็ยังไม่หยุดยั้ง และยังหาจังหวะทางการเมืองที่จะผลักดันเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง บุคคลกลุ่มนี้มีความสนิทสนมกับ พลเอกประยุทธ์ มากทีเดียว หากพลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง เมื่อมีพลังทางการเมืองเพิ่มขึ้นแล้ว ก็อาจจะผลักดันเรื่องนี้จนเป็นผลสำเร็จได้ ซึ่งจะมีผลเสียอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

3. ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนโยบายต่างประเทศที่ถ่วงดุลอำนาจระหว่างประเทศมหามิตรหลายฝ่ายที่มีอำนาจในโลกมาได้เป็นอย่างดีเสมอมา แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับประเทศมหามิตรฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ไม่มีการถ่วงดุลที่เหมาะสม อาจเป็น ปัญหาสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยได้ในอนาคตรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ดำเนินนโยบายที่เอาใจประเทศจีนมากกว่าประเทศมหามิตรอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา EU และญี่ปุ่น อย่างไม่สมดุลเอาเสียเลย

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือโครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงเทพฯ–หนองคาย ซึ่งรัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายให้ใช้รถไฟความเร็วสูงของจีนเพื่อวิ่งบนเส้นทางดังกล่าว และให้บริษัทจีนเป็นผู้ออกแบบและคุมงาน โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีความสามารถเท่ากันหรือดีกว่าจีนเข้าเสนอโครงการ เพื่อเปรียบเทียบแต่ประการใดเลย

และเงื่อนไขของจีนก็มิได้มีเงื่อนไขใดที่ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นพิเศษแต่อย่างใด ประเทศไทยก็ยังต้องเป็นผู้รับภาระลงทุนก่อสร้างราง ลงทุนในระบบสัญญาณ สร้างขยายสถานี และลงทุนซื้อรถไฟความเร็วสูงจากจีนทั้งหมด ประเทศจีนไม่ต้องแบกภาระลงทุนในเรื่องใดเลย

การกระทำอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต้องการเอาใจประเทศจีน เป็นพิเศษก็คือ การสอดไส้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการบรรจุข้อความที่ เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทย ได้โดยง่าย กล่าวคือในร่าง พ.ร.บ. EEC ซึ่งรัฐบาลเสนอผ่านการรับหลักการในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 1 ไปแล้ว มีข้อความที่ไม่มีใครเคยเขียนมาก่อนระบุไว้ในมาตรา 48 และมาตรา 49 กล่าวคือในมาตรา 48 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ประกอบกิจการในหลายๆ เรื่องนั้น มาตรา 48 (2) ระบุให้ “สิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร” ได้โดยไม่ได้กำหนดจำนวนสูงสุดไว้

และในมาตรา 49 ระบุ “ให้ผู้ประกอบกิจการหรืออยู่อาศัยในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ พิเศษซึ่งเป็นคนต่างด้าว…ให้มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นภายในเขตส่งเสริม เศรษฐกิจพิเศษได้ โดยไม่ต้องรับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือภายใต้การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด”

ข้อความในสองมาตราดังกล่าวนี้ถ้าผ่านสภาฯ ออกเป็นกฎหมายก็จะเปิดโอกาสให้นายทุน ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเขต EEC สามารถนำคนงานต่างด้าวเข้ามาพร้อมทั้งครอบครัวที่เป็นผู้อยู่อาศัยได้ด้วย โดยคนงานและผู้อยู่อาศัยทุกคนมีสิทธิจะเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศไทยได้เช่นกันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดเปิดโอกาสเช่นนี้ให้แก่คนต่างด้าวมาก่อนเลย

ผมเจาะข้อมูลเพิ่มเติม กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบมาว่าผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้บรรจุข้อความในสองมาตราดังกล่าว นั้นคือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีความใกล้ชิดกับจีนเป็นพิเศษ และผมก็ได้สอบถามความเห็นของวงการนักลงทุนชาติอื่น เช่น ญี่ปุ่นและยุโรปแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่านักลงทุนชาติเหล่า นั้นมีความต้องการเอาผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินแต่ประการใด คงมีความต้องการเฉพาะให้ผู้ประกอบการมีสิทธิครอบครองที่ดินบ้างเท่านั้น

ผมกลัวว่าหากพลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ก็อาจยินยอมให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.EEC ให้เพิ่มเรื่อง อนุญาตให้นำผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินได้อีก

พลเอกประยุทธ์ คงไม่ได้รับรู้ว่า ในประเทศเพื่อนบ้านที่คนจีนเพิ่งเข้าไปถือครองที่ดินและอยู่อาศัยถึงแสนครอบครัวนั้น เขาได้แทรกแซงทำ การค้า (Trading) ในเมืองต่างๆ ของประเทศนั้นในวงกว้างทีเดียว แล้วด้วยเงินทุนที่มีมากกว่า ทำให้พ่อค้าชาวจีนครอบงำการค้า (Trading) ของประเทศนั้นมากแล้วทีเดียว

ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จีนสนับสนุนเพื่อใช้เป็นเส้นทางสำหรับนักเดินทางจากจีนตอนใต้ผ่านลาว ไทย มาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า นโยบายสร้างเส้นทางรถไฟสายดังกล่าวของจีนนี้ เป็นนโยบายล่าอาณานิคมมิติใหม่ (New Colonialism)

ใช่ครับเป็นนโยบายที่อำนวยความสะดวกให้พ่อค้านักธุรกิจจีนได้ใช้รถไฟความเร็วสูงเข้ามาขยาย ธุรกิจการค้าในประเทศเหล่านี้ได้โดยสะดวก เป็นการขยายเครือข่ายการค้าที่ครอบงำโดยพ่อค้า ชาวจีนเป็นสำคัญ เป็นการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

ผมเชื่อว่าถ้าพลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ก็คงจะไม่มีนโยบายที่จะดูแล แก้ปัญหาในเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจจีน หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

4. ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ และ คสช. ได้กระทำการหลายอย่างเป็น ประจำที่ทำให้คนไทยโดยทั่วไปเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน เช่น กรณีโครงการราชภักดิ์ที่หัวหิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบพบว่ามีความไม่ถูกต้องหลายประการ ก็ถูกแรงกดดันจากรัฐบาลให้หัวหน้าสำนักตรวจเงินแผ่นดินชี้แจงเสมือนเป็นเรื่องปกติได้ประชาชนเชื่อว่าหากเป็นหน่วยราชการอื่นที่ไม่ใช่หน่วยทหารเป็นผู้จัดทำ ก็คงจะถูกเปิดโปงและ มีการลงโทษกัน หรือเช่นกรณีรายงานทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ครบถ้วน ซึ่งยัง ไม่แน่ว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่การที่ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาในการตัดสินและชี้แจงต่อประชาชนออกมา นานกว่าที่ควรจะเป็นมาก ก็ทำให้ประชาชนเห็นว่า เพราะบุคคลผู้นั้นเป็นทหาร จึงมีผลให้ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาให้ หากบุคคลนั้นเป็นพลเรือน ป.ป.ช. ก็คงตัดสินไปนานแล้ว

นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ และ คสช. ยังพยายามให้เห็นว่าทหารคือฝ่ายปกครองในขณะ ที่พลเรือนคือผู้ถูกปกครอง การเรียกตัวเอกชนไปให้ทหารเป็นผู้ปรับทัศนคติในกรมทหารก็ดี การใช้ทหารกำกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรในท้องถิ่นก็ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทหารคือผู้ปกครองและพลเรือนอยู่ใต้การปกครองของทหาร

ความรู้สึกที่ว่า ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน และความรู้สึกที่ว่าทหารทำตัวเป็นผู้ปกครอง เมื่อนานไปก็มีผลให้ประชาชนทั่วไปไม่ชอบทหารมากขึ้นทุกที ความรู้สึกไม่พอใจทหารในขณะนี้ ไม่ต่างจากช่วงเวลา พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2516 หากปล่อยให้สะสมมากขึ้นต่อไปอาจจะเป็น อันตรายต่อบ้านเมืองได้

5. ในระหว่างหนึ่งปีที่ผมทำงานกับพลเอกประยุทธ์ ได้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ สนิทสนม และใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งบุคคลที่สนิทสนมกับกลุ่มธุรกิจปลอดภาษีเป็นประธานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตามมา ด้วยการแต่งตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เข้าไปนั่งเป็น กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งช่วยให้สามารถได้รู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ยังไม่เปิดเผยก่อนผู้อื่น และรู้แง่มุมของการวางนโยบายที่เป็นเรื่องไม่พึงเปิดเผยด้วย และยังเคยเชิญ นักธุรกิจคนหนึ่งให้เข้าไปร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ เป็นประโยชน์แก่นักธุรกิจผู้นั้นโดยเฉพาะและยังมีตัวอย่างอื่นอีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจรายใหญ่บางคนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังเคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องมีการประมูล เคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรี ให้เอกชนรายหนึ่งเช่าโดยให้คิดค่าเช่าในราคาถูก

ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยเข้าใจนัยสำคัญของเรื่องนี้

6. พลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเพราะกลัวเสียคะแนนนิยม รัฐมนตรีที่เคยร่วมงานในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ สามารถเป็นพยานได้ว่า เมื่อมีเรื่องใดที่รัฐบาล ต้องอนุมัติเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อปฏิรูป หากมีผู้ออกความเห็นคัดค้านใน Social Media บ่อยๆ พลเอกประยุทธ์ ก็สั่งให้ถอยเสมอ ด้วยความกลัวว่าตนเองจะเสียคะแนนนิยม แม้ว่าความเห็นใน Social Media จะไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือตรงข้ามกับข้อเท็จจริง แต่ถ้านำลงใน Social Media ให้มากรายและหลายๆ ครั้ง ก็จะทำให้พลเอก ประยุทธ์ กลัวเสียคะแนนนิยมจนสั่งถอนเรื่องเสมอ

เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตจากถ่านหิน (แทนถ่านลิกไนต์ที่เคยทำอยู่เดิมและตัวถ่านหมดลง) เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนภาคใต้ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดในภาคใต้เกือบจะผลิตได้ไม่พอความต้องการอยู่แล้ว แม้ว่าจะได้ทำการประชาพิจารณ์ถึง 6 ครั้ง และปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆ ของโครงการให้เป็นไปตามความต้องการด้านความสะอาดและสิ่งแวดล้อมของผู้คนในท้องถิ่นครบถ้วนตามที่เขาต้องการ จนประชาชนในท้องถิ่นออกเสียงให้ดำเนินการได้ในการทำประชาพิจารณ์ครั้งสุดท้ายแล้วก็ตาม

หรือเช่น การประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติรอบที่ 21 ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งคัดค้าน แม้ว่าคณะที่ปรึกษาที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานได้ให้ความเห็นว่าควรสนับสนุนการประมูลให้เสร็จเพื่อให้สามารถสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติได้ทันใช้ (เนื่องจากก๊าซในบ่อเดิมที่ใช้อยู่เหลือน้อยลง) และแม้จะจัดให้มีการโต้วาทีระหว่างฝ่ายที่ สนับสนุนกับกลุ่มที่คัดค้านตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแล้ว พอถึงวันประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่าฝ่ายสนับสนุนชี้แจงได้ดี และไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม. แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการต่อไปได้เลย ถ้านายกรัฐมนตรี ไม่ขัดข้อง ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่กล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำเพราะกลัวเสียคะแนนนิยมคือ เรื่องภาษีทรัพย์สิน ซึ่งรัฐมนตรีคลังได้ตั้งเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.ก่อนที่จะเสนอสภาฯ เป็นธรรมดาที่การจะเก็บภาษีเพิ่มเติมย่อมมีคนค้าน ผู้ที่คัดค้านทำการค้านผ่านทั้งสื่อมวลชนและ Social Media ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดความกลัวจะเสียคะแนนนิยม

ดังนั้นเมื่อเรื่องมาถึงที่ประชุมเตรียมการก่อนเสนอที่ประชุม ครม. ปรากฏว่าพลเอก ประยุทธ์ สั่งให้รอเรื่องไว้ก่อนด้วยเหตุผลเดียวคือ มีคนโจมตี ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ อ่านข้อความที่มีผู้คัดค้านให้ฟังในที่ประชุมด้วย ผมฟังแล้วเห็นว่าเป็นความเห็นคัดค้านของกลุ่มเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินมากๆ ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ที่จะหยุดกฎหมายนี้ แต่ในที่สุดกระทรวงการคลังก็ต้องดึงเรื่องออกไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และต้องใช้เวลาอีก 3 ปี กว่ากฎหมายจะผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้แทนที่จะทำได้เสร็จในปีแรก ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้นสำหรับบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณซึ่งเป็นต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว

บุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวว่าจะเสียคะแนนนิยมเช่นนี้ หากได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปในเรื่องต่างๆ ที่เตรียมกันไว้ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ยาก เพราะมาตรการเพื่อ การปฏิรูปทุกเรื่องย่อมจะมีผลกระทบประชาชนบางกลุ่มอย่างแน่นอน ถ้าขาดความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง การปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น

7. ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานของการประชุม ASEAN ตลอดทั้งปี หากพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมระหว่างประเทศสมาชิก ASEAN รวมทั้งประเทศอื่นที่เข้าสังเกตการณ์ มีความเสี่ยงที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าประเทศสมาชิกอื่นจากพฤฒิปฏิบัติของประธานที่ประชุมได้ ดังที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2558 เมื่อครั้งที่ประเทศไทยได้เป็นประธานของการประชุมประเทศกำลังพัฒนา G77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยกร่างสุนทรพจน์ให้พลเอก ประยุทธ์พูดในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายสนใจใคร่รู้

แต่ปรากฏว่า หลังจากที่พูดตามร่างในเรื่องที่เตรียมไว้ไปได้ไม่นาน พลเอก ประยุทธ์ ได้หันไปพูดนอกบทโดยใช้เวทีที่สิงคโปร์ด่าทอสื่อมวลชน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และนักวิชาการในประเทศ อันเป็นการด่าคนไทยด้วยกันเองให้คนต่างชาติฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับตัวแทนจาก 130 ประเทศที่เข้า ร่วมรับฟัง

นอกจากนี้ เมื่อคราวที่พลเอกประยุทธ์ เข้าพบ President Donald Trump ของสหรัฐอเมริกา คนไทยก็ได้รับรู้ความสามารถในการเจรจากับบุคคลระดับผู้นำประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ เป็นไก่รองบ่อนอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้คาดหวังที่จะให้พลเอกประยุทธ์ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องในการเจรจา เพราะผู้นำรัฐบาลสามารถใช้ล่ามได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องพยายามฟังให้เข้าใจเนื้อหา และใช้สติหาคำตอบที่เหมาะสม ตอบเป็นภาษาไทยให้ล่ามแปลด้วยความรัดกุมก็จะไม่เสียเปรียบ แต่ความที่อยากจะอวดว่าพูดภาษาอังกฤษเป็น (ทั้งๆ ที่ภาษา อังกฤษใช้ไม่ได้เลย) จึงทำให้กลายเป็นไก่รองบ่อน น่าขายหน้าอีกครั้งหนึ่ง

หากพลเอกประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปีหน้า ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมผู้นำ ASEAN ด้วย ก็มีโอกาสที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าอีกครั้ง เพราะพลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ และเมื่ออารมณ์เสียแล้วก็จะบุ่มบ่ามและมุทะลุ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ต้องการแสดงออกให้คนรู้ว่าตนเองเก่งและรอบรู้ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้น ภายในที่มักจะทำให้เกิดการแสดงออกที่พลาดท่าได้

8. ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นักข่าวก็มีโอกาสได้ฟังนายกแถลงข่าวทุกวันประชุม ครม. และนำบทแถลงข่าวและบทให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ออกให้คนชมทางโทรทัศน์เป็นประจำ ทุกคนได้เห็นถึงการพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มีลักษณะที่ก้าวร้าวและบางครั้งก็ใช้คำหยาบคายที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะออกมาจากปากของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งอาจกลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจะทำตาม เด็กๆ ย่อมมองเห็นบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแบบอย่างสำหรับทำตามอยู่แล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีพูดก้าวร้าวได้และพูดหยาบคายได้ เยาวชนก็จะคิดว่าเขาน่าจะมีสิทธิทำได้เช่นกัน พลเอกประยุทธ์ ไม่เคยระวังตัวในการใช้คำพูดเลย ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรวางตัวอย่างไรหรือพูดจาอย่างไรจึงจะเหมาะสม และเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน

การใช้ภาษาไทยในการพูดของพลเอก ประยุทธ์ ไม่เหมาะสม สำหรับผู้ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศในหลายประการ ประการแรก พลเอกประยุทธ์ พูดจารวบคำอยู่เสมอ เช่น คำว่า “ประชาชน” พูดว่า “ประชน” หรือคำว่า “พิษณุโลก” พูดว่า “พิษโลก” ตัวอย่างการพูดรวบคำของพลเอกประยุทธ์ ยังมีอีกนับร้อย เมื่อผู้นำพูดเช่นนี้บ่อยๆ คนก็จะทำตามจนอาจทำให้ภาษาวิบัติได้

และผมก็ทราบว่า กองทัพบกมีหลักสูตรสำหรับฝึกการพูดให้แก่ผู้ที่จะเป็นนายทหารระดับสูง ให้มีความเป็นสุภาพชนที่เหมาะสม คงมีพลเอกประยุทธ์ นี่แหละที่ทำได้ไม่ดีเท่านายทหารคนอื่น

โดยสรุป ผมเห็นว่าหากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปที่เตรียมไว้ก็คงจะไม่สำเร็จเพราะความไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากกลัวเสียคะแนนนิยม แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านเพียงหยิบมือเดียว ฐานะการคลังของประเทศก็คงจะเสื่อมลงไปอีกเพราะขาดวินัยที่ดี คนไทยก็คงต้องทนฟังการพูดภาษาไทยที่ขัดหู รวบคำ และแข็งกระด้าง และต้องนั่งเป็นห่วงว่าเยาวชนอาจเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี ต้องนั่งใจเต้นว่า นายกรัฐมนตรีจะไปทำให้ประเทศไทยขายหน้าในการเป็นประธานการประชุมในเวทีโลกอีกหรือไม่

ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการผลักดันให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อเศรษฐกิจอีกหรือไม่ และจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ต้องเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะถูกแทรกซึมในธุรกิจการค้าโดยประเทศมหาอำนาจบางประเทศหรือไม่ การให้ประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับพลเอกประยุทธ์ จะมีส่วนสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน และหากรวมเข้ากับความไม่พอใจในการที่ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน ก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุเหล่านี้

ผมจึงไม่ต้องการให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเลย


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน