“องอาจ” ชี้ 4 สาเหตุ ไทยตกอันดับ ความโปร่งใส ทั้งที่ไม่มี ‘นักการเมือง’
บริหารประเทศ 5 ปี

ความโปร่งใส – วันที่ 30 ม.ค. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ สำรวจพบดัชนีคอร์รัปชั่นของไทยลดลง 2 อันดับ มาอยู่ที่ 99 จากทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลกว่า ต้องยอมรับความจริงว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศ แทนที่เงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีอากรของประชาชนจะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศชาติอย่างเต็มที่ ก็ถูกเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และพวกพ้อง

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

เดิมมองว่านักการเมืองทุจริต แต่วันนี้ผ่านมาเกือบ 5 ปีไม่มีนักการเมืองบริหารประเทศ มีแต่ข้าราชการ ทั้งจากทหาร และพลเรือนบริหารประเทศ ปรากฏว่าคอร์รัปชั่นก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร การคอร์รัปชั่นก็ยังระบาดอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งอัตราส่วนเปอร์เซ็นต์การเรียกรับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจก็สูงกว่าที่ผ่านมา ยิ่งไม่มีการตรวจสอบที่เข็มแข็งประกอบกับกลไกการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาล และภาครัฐอ่อนแอก็ยิ่งทำให้สถานการณ์คอร์รัปชั่นของไทยทรุดต่ำลง

“สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ประกาศเสียงดังจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ก็ไม่ปรากฏเป็นจริง ไม่สามารถทำตามที่เคยพูดไว้ได้ ถือเป็นความล้มเหลวของ คสช.และรัฐบาล”นายองอาจ กล่าว

นายองอาจ กล่าวต่อว่า การที่สถานการณ์คอร์รัปชั่นของไทยในยุค คสช.ยังทรุดต่ำอยู่ขณะนี้ น่าจะมาจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้ 1.ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล และภาครัฐไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามคอร์รัปชั่น 2.องค์กรตรวจสอบ และกลไกตรวจสอบตามระบบไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.มีภาพการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ และ 4.การบังคับใช้กฎหมายถูกละเลย ทำให้เอื้อต่อการทุจริตได้ง่าย ตนจึงมีความหวังว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะได้รัฐบาลที่มาจากนักการเมือง และพรรคการเมืองที่ไม่มีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริตเพื่อเข้ามาจัดการปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน