พิชัย ติงสภาพัฒน์ ให้ข้อมูลไม่ครบ ชี้สตาร์ทอัพไทยไม่พัฒนา เพราะอยู่ใต้เผด็จการ

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. นาย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่สภาพัฒน์แถลงว่าเศรษฐกิจไทยปี 2561 ขยายตัวได้ 4.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดใน 6 ปีนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบ เพราะหากมองย้อนหลังในปี 2556 เศรษฐกิจไทยโตได้เพียง 2.9% เพราะมีการประท้วงของ กปปส.

หากไม่มีการประท้วงเศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ 4 % แล้ว และต่อมาในปี 2557 ก็มีการทำรัฐประหารทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากแค่ 0.8% และการขยายตัวก็ต่ำมาตลอดตั้งแต่มีการรัฐประหาร ที่ 2.8%, 3.2%, 3.9% และมาปี 2561 นี้ 4.1% และเป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในอาเซียนตลอด 6 ปี

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ซึ่งหากเทียบกับปี 2555 ก่อนมีการประท้วงและการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยขยายได้ถึง 6.6% ซึ่งสูงกว่าทั้ง 6 ปีนี้มาก ซึ่งหากไม่มีการรัฐประหารเศรษฐกิจไทยก็น่าจะโตได้อย่างต่ำ 4-5 % ทุกปี จึงอยากให้สภาพัฒน์ได้ให้ข้อมูลให้ครบทุกด้าน นอกจากนี้จากการได้พบกับตัวแทนของ WEF (World Economic Forum) ตัวแทน WEF ได้แสดงความเป็นห่วงการปรับตัวของไทยกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วของโลก ที่แม้แต่ WEF เองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วขนาดไหนในอนาคตอันใกล้นี้

ซึ่งตรงกันแนวคิดของพรรค ทษช.ที่เห็นว่าไทยต้องเร่งปรับตัว และ WEF ยังให้ข้อมูลอีกว่าแม้ไทยจะมีการใช้เทคโนโลยีกันมาก แต่กลับไม่สามารถพัฒนาบริษัท สตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีให้ประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์น (บริษัทที่มูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)ได้

ไม่เหมือนกับในประเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่สามารถพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีให้ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมากได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้เคยเตือนแล้วว่าหากประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการที่กดดัน และปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดของประชาชน จะทำให้ประชาชนไม่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ และได้ส่งผลกระทบแล้ว เพราะประเทศในกลุ่มอาเซียนมีบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศเป็นเงินจำนวนหลายแสนล้านบาท ที่ไทยได้พลาดโอกาสไป

นายพิชัย กล่าวอีกว่า หากพรรคไทยรักษาชาติสามารถได้เป็นรัฐบาล จะส่งเสริมบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้อย่างเต็มที่ เพื่อประเทศไทยจะได้พัฒนาและเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศ อีกทั้งสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ หวังว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนาก้าวไกลเป็นฮับการพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีของภูมิภาคนี้ได้ อีกทั้งพัฒนาและปฏิรูปประเทศตามนโยบายโค้ดไทยแลนด์ โดยต้องเปิดกว้างให้ผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลกเข้ามาร่วมพัฒนา

โดยไทยจะต้องให้ความสะดวกในการแก้ไขกฏระเบียบต่างๆ ให้เกิดความคล่องตัว และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่จะตัดงบกลาโหมเพื่อมาฟื้นเศรษฐกิจ ก็ไล่ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินกันแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังอยากขอให้ สนช. เลื่อนการพิจารณา พ.ร.บ.ข้าว ไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐบาลใหม่และรัฐสภาใหม่ ได้พิจารณาอย่างละเอียด

เรื่องดังกล่าวกระทบกับชาวนาเป็นวงกว้าง อีกทั้งความไม่น่าเชื่อถือของรัฐบาลนี้ที่มักจะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนมาโดยตลอด ทำให้เกิดความไม่ไว้ใจที่จะผ่าน พ.ร.บ.ข้าวในรัฐบาลนี้ และ ไม่มีความเร่งรีบที่จะต้องเร่งผ่าน พ.ร.บ.ข้าวนี้ หากไม่ต้องการเอาใจนายทุนรายใดเป็นพิเศษ จึงอยากเรียกร้องให้เลื่อนการพิจารณาไปจนกว่าจะมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน