เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภาครัฐ ในคณะกรรมการประสานงานระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มีพล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ เป็นประธานการจัดเสวนา “ร่างพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. …. กลไกสำคัญในการตอบโจทย์การปฏิรูปภาครัฐ มุ่งสู่ Thailand 4.0” โดยมี
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะทำไมต้องปฏิรูป” ว่า แนวคิดการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2540 ขณะที่กฎหมายข้อมูลข่าวสารสาธารณะบังคับใช้ครั้งแรกปี 2550 เป็นระบบที่สร้างเพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลของทางราชการและของประชาชน ซึ่งเหมาะกับยุคไทยแลนด์ 1.0 ที่ประชาชนต้องยื่นกระดาษคำขอเพื่อขอข้อมูลต่อราชการ จนกระทั่งมาสู่การแก้ไขของสนช. เพื่อให้สอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 แต่เท่าที่ตนดูยังยังเป็นแค่ยุคไทยแลนด์ 2.0 เท่านั้น เพราะหากสังเกตในร่างรัฐธรรมนูญ จะมีการกำหนดสิทธิหน้าที่แก่ประชาชนมากขึ้นต่อการเข้าถึงการรับรู้และมีส่วนร่วมดูแลบ้านเมือง จากแต่เดิมทุกคนคิดว่า งานของบ้านเมืองควรอยู่ในมือข้าราชการ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นช่วงหนึ่งที่ราษฎรมีปากเสียงว่าตัวเองทุกข์ยากอย่างไร

“ข้าราชการทำงานลำบากขึ้น หงุดหงิดกับการเรียกร้องของประชาชน ซึ่งปัญหาเกิดจากการที่ราชการไม่เปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งหมดจนประชาชนรู้สึกกลัวต่อการกระทำของราชการ และนำไปสู่ความทุกข์ยากของประชาชน เพราะการออกกฎหมายไม่เคยไปถามความเห็นประชาชนว่า ต้องการอย่างไร ล่าสุด มาตรา 77 ตามร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้การออกกฎหมายต้องรับฟังเสียงประชาชนแล้ววิเคราะห์ว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ก็มีเสียงบ่นจากฝั่งสนช.ว่า ทำให้การพิจารณากฎหมายลำบากผ่านยากขึ้น ซึ่งตนไม่อยากให้คิดว่าลำบาก ถ่วงเวลาไว้บ้างก็ดี เพราะผลงานกฎหมายสนช.มีมากกว่า 200 ฉบับ แปลว่า สิทธิประชาชนถูกลิดรอน 200 กว่าครั้ง ที่ผ่านมากฎหมายเขียนว่า หากประชาชนไม่พึงกระทำตามจะมีความผิด แต่ถามว่า กฎหมายเคยเขียนไว้หรือไม่ว่า หากเจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกให้ราษฎรและต้องมีโทษ ไม่เคยเขียนไว้ แต่ตอนนี้กำลังจะเขียน”นายมีชัยกล่าว

นายมีชัย กล่าวอีกว่า กฎหมายมีการลงโทษรุนแรงกับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการเก็บส่วยกับประชาชนมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น กฎหมายประมวลรัษฎากร ดังนั้น เห็นว่าการออกกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และการที่ต้องมาฟังเสียงประชาชน ก็อยากให้มองว่าคุ้มค่ากับประชาชนที่จะทำตามกฎหมายหรือไม่ อย่าไปมองเรื่องให้อำนาจรัฐอย่างเดียว และเท่าที่ดูพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะฉบับใหม่นี้จะถึงไทยแลนด์ 4.0 จริงหรือไม่นั้น หากยังให้แต่ละหน่วยราชการเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลกันเองตามช่องทางที่รัฐกำหนดไว้ ถ้ายังทำแบบเดิม ตนยืนยันว่ายังไม่ถึงขั้น 4.0 ฉะนั้นเราควรหาแนวทางที่มีคนที่คิดนอกกรอบ เช่น แนวคิดระบบพร้อมเพย์ คิดเพื่อคิดเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อกระตุ้นประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน