สุวัจน์ แนะ ประเทศพัฒนาโครงข่าย 5G พัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ การสื่อสาร ส่งเสริมการลงทุน ลดความเหลื่อมล้ำ เน้นสร้าง 2 จุดแข็งของประเทศ เกษตร-ท่องเที่ยว

สุวัจน์ – วันที่ 13 มี.ค. ที่มหาวิทยาลัยหอการค้า จัดเวทีดีเบต เรื่อง การขับเคลื่อนเรื่องประชาชนและเอกชนให้ความสนใจ โดยให้พรรคการเมืองร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงแนวคิดที่จะทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าใน 4 ปี ข้างหน้า เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน รวมถึงแนวทางการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสและปราศจากการคอร์รัปชั่นจะเป็นอย่างไร

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า การทำให้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที เพื่อให้ประเทศไทยมีคุณภาพทัดเทียบต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย ฯลฯ สามารถดึงดูดการลงทุนและการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ประเทศต้องพัฒนาโครงข่าย 5G เนื่องจากเศรษฐกิจด้านเทคโนโลยี เพราะประเทศไทยเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมขั้นที่ 4 หากประเทศไทยปรับตัวตามไม่ทันจะแพ้ต่างชาติ เพราะ เทคโนโลยีมีผลกระทบโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและค้าโดยตรง

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ให้ได้ภายใน 2 ปี “การพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีความสำคัญมากต่อการส่งเสริมการลงทุนในการเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามา การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เช่น ด้านการแพทย์ หรือการศึกษาระหว่างคนจนกับคนรวย เช่น การเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ของคนจน ต่อไปประชาชนอาจไม่ต้องเดินทางไปรักษาพยาบาลด้วยตัวเองที่โรงพยาบาล แต่นำเทคโนโลยี 5G มาใช้เป็นเครื่องมือให้ประชาชนเข้าถึงทางการแพทย์” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยเฉพาะในภาคเกษตร ต้องเน้นแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ เพราะคนยากจนส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ครัวเรือน เฉลี่ย 1.8 แสนบาทต่อคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้วนเป็นเกษตรกร หรือ ผู้ประกอบการรายย่อย จากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งทางพรรคชาติพัฒนามีนโยบายดังนี้ คือ ต้องพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ต้องปรับโครงสร้างการเกษตรที่ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตร 2 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับและพัฒนาเกษตรกร

พร้อมกับเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือด้านความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีมาใช้ด้านการผลิตและตลาด เช่น ตลาดออนไลน์ หรือ อีคอมเมริ์ซ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นเศรษฐกิจรากหญ้าได้เข้มแข็ง และมีรายได้เข้าสู่หมู่บ้านและชุมชน ด้วยการบูทการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวภาคอีสานเพิ่มขึ้น ด้วยการนำจุดแข็งวิถีชุมชนวิถีวัฒนธรรม เช่น สินค้าโอท็อป อาหารพื้นเมือง หรือแหล่งท่องเที่ยวเอกลักษณ์ นี่คือ แนวทางการแก้ปัญหาความยากอย่างยั่งยืนที่พรรคชาติพัฒนาต้องการเข้ามาทำงานให้กับพี่น้องประชาชน

นายสุวัจน์ กล่าวว่า อนาคตการพัฒนาประเทศ ต้องทำสิ่งที่ยั่งยืน ประเทศไทยถนัดและสามารถกระจายรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและแท้จริง ด้วยการนำ 2 จุดแข็งของประเทศมาแข่งขัน คือ 1.จุดแข็งภาคเกษตร เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา หรือ มันสำปะหลัง ต้องพัฒนาภาคเกษตรให้ประเทศไทยกลายเป็นมหาอำนาจ เป็นเหมือนองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเป็ค เช่น ยางพาราที่ผลิตได้ปีละ 4 ล้านตัน ต้องแปรรูปเพื่อส่งออกเป็นสินค้าสินค้าอุตสาหกรรม เพราะสามารถเพิ่มมูลค่าสูงกว่าการส่งออกเป็นสินค้าเกษตร เพราะภาคเกษตรสามารถทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจทางอาหาร ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างไร แต่ทั่วโลกยังคงต้องการอาหาร

และ 2.จุดแข็งด้านการท่องเที่ยว ต้องผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น มอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูง หรือสร้าง “มารีน่า” เพื่อเชื่อมโยงและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว และอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทยที่ปัจจุบันยังไม่มี พร้อมสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ หรือผู้ประกอบการรายย่อย เช่น สินค้าโอท็อป หรืออาหารพื้นเมืองพื้นถิ่น ต้องทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก และมาเที่ยวเมืองไทย รวมถึงการสนับสนุนโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก หรือ Thailand Riviera เพื่อประโยชน์ในการรักษา ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว หรือการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน