“บิ๊กตู่”ใช้ม.44 ปลด “วุฒิชาติ กัลยาณมิตร”พ้นผู้ว่าฯรฟท. เข้ากรุสำนักนายกฯ พร้อมโละบอร์ดยกชุด เหตุทำงานอืด ตั้ง อานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองอธิบดีกรมทางหลวงรักษาการ พร้อมผุดกรรมการจัดซื้อจัดจ้างอุดรูรั่วทุจริตโครงการรัฐ ประเดิมคุม 7 เมกะโปรเจ็กต์รฟท. ตั้งแล้ว 39 ที่ปรึกษาป.ย.ป. คนดังพรึ่บทั้ง”ศุภชัย-ประสาร-กานต์-ชาติศิริ-บัณฑูร-บวรศักดิ์” “ไก่อู”ตั้ง 3 กลุ่มไลน์จี้หน่วยงานรัฐโต้ข่าวรายวัน “พรเพชร”โวย ไอลอว์มั่วข้อมูลให้สนช.ลาประชุม 394 วัน “พีระศักดิ์”เผยรู้ผลสอบ 7 สนช.โดดร่มวันนี้ พาณิชย์ส่งหนังสือกรมบังคับคดี ลุยยึดทรัพย์ 2 หมื่นล้านคดีจีทูจี “บุญทรง”ยื่นอุทธรณ์ทันที ขู่ฟ้องเจ้าหน้าที่กราวรูด

“บิ๊กตู่”ตั้ง 39 ที่ปรึกษาป.ย.ป.

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงนามในคำสั่งนายกฯ ที่ 8/2560 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการแต่ละคณะภายใต้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีจำนวนรวม 39 คน ดังนี้

คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (มินิคาบิเนต) ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายกานต์ ตระกูลฮุน, นายชาติศิริ โสภณพนิช, นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์, นายวิรโท สันติประภพ, นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ และนายอำพล จินดาวัฒนะ

คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายคุรุจิต นาครทรรพ, นายจเด็จ อินสว่าง, นายไชยา ยิ้มวิไล, นายเตช บุนนาค, นายเทียนฉาย กีระนันทน์, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ, นายบัณฑูร ล่ำซำ, นางเบญจวรรณ สร่างนิทร, นายประมนต์ สุธีวงศ์, นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา, นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ, นางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์, นายศักรินทร์ ภูมิรัตน และพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์

ศุภชัย-ประสาร-ธงทองร่วมทีม

คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ มีที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายกำจร ตติยกวี, นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย, นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ, นายชาติชาย ณ เชียงใหม่, นายชูศักดิ์ ลิ่มสกุล, นายณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา, นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์, นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล, นายพงศ์โพยม วาศภูติ, นายวรากรณ์ สามโกเศศ, นายศุภชัย พานิชภักดิ์, นายสมคิด เลิศไพฑูรย์, นายสมชัย ฤชุพันธุ์, นายอาวุธ ศรีศุกรี และนายอุดม คชินทร

คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายธงทอง จันทรางศุ, นาย อัชพร จารุจินดา และ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ

ผุดกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 11/2560 เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงหลักการและแนวทางของข้อตกลงคุณธรรม ในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้าร่วมดำเนินกิจการของรัฐ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเกิดความไว้วางใจแก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินและส่งผลต่อภาพลักษณ์อันดีของประเทศ โดยเฉพาะระหว่างรอการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลใช้บังคับ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้าคสช. โดยความเห็นชอบของคสช. จึงมีคำสั่ง ให้มีคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกฯ แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของครม. เป็นประธานกรรมการ ผอ.สำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกฯแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของครม. ไม่เกิน 3 คน เป็นกรรมการ

พบทุจริตส่งปปช.-ปปท.ฟัน

ทั้งนี้ นายกฯโดยความเห็นชอบของครม.อาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรวิชาการหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้นๆ เพิ่มขึ้นอีกได้ ไม่เกิน 3 คน เป็นกรรมการ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีกรมบัญชีกลาง แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ไม่เกิน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้ ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่เป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อมในโครงการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งตนมีหน้าที่และอำนาจกำกับดูแลตามคำสั่งนี้

คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ กำกับ เร่งรัด ติดตามและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างจนสิ้นสุดสัญญา เป็นต้น โดยรายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งนี้ต่อนายกฯ กรณีที่พิจารณาข้อร้องเรียนแล้วรับฟังได้ว่า หน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือมีการกระทำที่ส่อทุจริต ให้คณะกรรมการมีอำนาจแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ

ประเดิมคุมเข้ม7โครงการรถไฟ

ทั้งนี้ ให้โครงการดังต่อไปนี้ และโครงการอื่นตามที่นายกฯ กำหนดซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตามคำสั่งนี้

1.โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย 2.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น 3.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 4.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ

5. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน 6.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ 7.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร

โดยคำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่งวันที่ 23 ก.พ.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.

หวังอุดรูรั่วมากที่สุด

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 1/2560 ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันและแก้ไขการทุจริตในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเฉพาะการประมูล การก่อสร้าง วันนี้ออกมาตรา 44 เรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการที่มูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องมีการตรวจสอบตั้งแต่ขั้นต้น

โดยกรมบัญชีกลางจะมีหน้าที่ออกกฎระเบียบใหม่ในเรื่องราคากลาง ให้มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเข้ามาร่วมกำหนดราคากลาง และไปดูเรื่องการคิดโครงการของกระทรวงต่างๆ ว่ามีความเหมาะสมหรือสอดคล้องกับยุทธศาสตร์หรือไม่ ดูเรื่องขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคา กำหนดทีโออาร์ ทั้งหมด ต้องช่วยกันเฝ้าระวังคนไม่ดีก็มีอยู่ทั่วไป ปิดรูรั่วให้มากที่สุด รัฐบาลนี้เอาจริงในเรื่องนี้ แต่เป็นธรรมดาเพราะหลายเรื่องเกิดมานาน ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ก็ค่อยๆ แก้กันไปให้เร็วที่สุด

“ไก่อู”จี้หน่วยงานรัฐรุกพีอาร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกฯ(สลน.) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. ได้ออกระเบียบให้หน่วยงานรัฐรับทราบแนวทาง วิธีการและขั้นตอนการจัดส่งประเด็นข่าวและการรายงานประเด็นข่าวของหน่วยงาน เพื่อให้ทันการณ์ มีเนื้อหา 12 หน้า ระยะแรกให้ดำเนินการผ่านระบบกลุ่มไลน์ ตามข้อเสนอของสรอ. โดยให้สำนักงานก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ประเมินจากปริมาณและประสิทธิภาพการชี้แจง แล้วรายงานตัวชี้วัดและผลการประเมินต่อนายกฯ ทุก 3 เดือน

การตั้งระบบสื่อสารผ่านกลุ่มไลน์ มี 3 กลุ่ม 1.กลุ่มของคณะทำงานกำหนดประเด็นการชี้แจงข่าวทันเหตุการณ์ ซึ่งพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ และรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ จะติดตามสถานการณ์และประเด็นแต่ละวันจากทุกสื่อ เพื่อกำหนดว่าประเด็นใดควรชี้แจงหรือตอบโต้ และหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง 2.กลุ่มไลน์ระบบการจัดส่งประเด็นสำคัญให้แก่ส่วนราชการ องค์การมหาชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นรับไปชี้แจง

3.กลุ่มไลน์ที่ให้ผู้แทนส่วนราชการ องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ รายงานผลการชี้แจงประเด็นสำคัญ และเมื่อแจ้งทางไลน์แล้ว ต้องส่งหลักฐานเพิ่มเติมมาทางอีเมล์ [email protected] ภายใน 2 วันหลังจากชี้แจง ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า พล.ท.สรรเสริญ กำชับให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มไลน์ต้องใช้รูปโปรไฟล์ที่เป็นรูปตัวเองเท่านั้น เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นใคร

“พรเพชร”โต้ข้อมูลสนช.โดดร่มมั่ว

ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงถึงกรณี 7 สมาชิกสนช.ขาดประชุมว่า การที่โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) เปิดเผยข้อมูลว่า ตนอนุญาตให้ลาประชุม 394 วัน จากวันประชุม 400 วัน ซึ่งจากการตรวจสอบดูการประชุมในปี 2557 มีการประชุม 33 ครั้ง ปี 2558 ประชุม 76 ครั้ง ปี 2559 ประชุม 84 ครั้ง และปี 2560 เพิ่งประชุม 11 ครั้ง รวมแล้วมีวันประชุม 204 วันเท่านั้น ดังนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีการประชุมถึง 400 วัน

นอกจากนี้ยังมีคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่าตนอนุญาตให้ลูกน้องลาได้ 394 วันจาก 400 วัน ไปเอาตัวเลขมากจากไหน ถ้าตนทำอย่างนั้นก็บ้าแล้วสมควรตาย เมื่อถามว่าจะดำเนินการกับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ประธานสนช. กล่าวว่า คงไม่ดำเนินการอะไร แต่มาขอความเป็นธรรมและเห็นใจ เพราะเป็นไปไม่ได้ ไม่บ้าก็เมาตายดีกว่า

“พีระศักดิ์”ยันไร้แววผิดกฎ

ด้านนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. คนที่ 2 ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมสมาชิก สนช. กล่าวถึงการตรวจสอบจริยธรรมสมาชิกสนช. 7 คน ที่ถูกวิจารณ์ว่าขาดลงมติในที่ประชุม สนช.ว่า เบื้องต้นจะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าสนช.แต่ละคนมาลงมติเพียงแค่ครั้งเดียวในรอบ 90 วัน หรือลาประชุมมากกว่า 300 ครั้งในรอบปี ต้องดูตัวเลขว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับข้อบังคับที่ระบุว่าถ้าลงมติไม่ครบแล้วจะขาดสมาชิกภาพ สนช.

โดยวันที่ 24 ก.พ. คงได้ข้อมูลว่าสมาชิกแต่ละคนลาประชุมกี่ครั้ง ขาดการลงมติกี่ครั้ง และสถานภาพสมาชิก สนช.เป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นจะตรวจสอบความถูกต้องทางจริยธรรมตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้อง และตรวจสอบสนช.ผู้ถูกร้องทั้ง 7 คนว่ามีการลาการประชุมถูกต้องหรือไม่ ทำไมถึงลาการประชุม จากนั้นจะเชิญ ประธาน สนช.มาให้ข้อมูลว่าที่ผ่านมามีหลักเกณฑ์อนุมัติให้ลาอย่างไรบ้าง แต่ขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่มี สนช.คนไหนขาดการลงมติเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวได้กำหนดไว้

เพื่อไทยเหน็บโฆษกกลาโหม

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต. คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ระบุที่พรรคเพื่อไทยจะเข้าพบคณะอนุกรรมการฯ วันที่ 8 มี.ค.นั้น คณะอนุกรรมการจะเป็นผู้กำหนด และแจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยเองว่า ความจริงเรื่องวันเวลานัดหมายถือเป็นเรื่องเล็กมากแต่ทำให้สังคมได้เห็นว่าขนาดเรื่องเล็กๆ ยังหยุมหยิมขนาดนี้ และพยายามจะสร้างความได้เปรียบตลอดเวลา

การที่พรรคเพื่อไทยแจ้งว่าจะเข้าพบคณะอนุกรรมการฯ ในวันที่ 8 มี.ค. ไม่ใช่คิดเอง กำหนดเองเพียงฝ่ายเดียว แต่มาจากการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประสานงานที่ระบุในจดหมายเชิญ ซึ่งอยากให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปในวันพุธ จะได้สะดวกที่ผู้บริหารระดับสูงจะเข้าร่วมรับฟัง ซึ่งวันพุธที่ 1 มี.ค.เราไม่สะดวก ก็เป็นพุธที่ 8 มี.ค. พอนัดเสร็จ พล.ต. คงชีพ กลับบอกว่าคณะอนุกรรมการฯ จะกำหนดเอง เลยไม่ทราบว่าเพราะไม่เข้าใจ ยังไม่ได้รับรายงาน หรือต้องการอะไรกันแน่ ขนาดเรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังเข้าใจยากเลยแล้ว จะปรองดองกันอย่างไร พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อโอกาสในการแก้ไขวิกฤตชาติและแสวงหาทางออกร่วมกัน อยู่ที่ท่านแล้วว่าจะจริงจัง จริงใจในการปรองดองแค่ไหน

ส่งหมายยึดทรัพย์คดีจีทูจี

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีกระทรวงพาณิชย์ ส่งหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ พร้อมข้อมูลสืบทรัพย์ล็อตแรกให้กรมบังคับคดีดำเนินการ เพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกรณีโครงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ พร้อมพวกรวม 6 คน ซึ่งทางกรมบังคับคดีจะส่งหมายบังคับคดีไปยังเจ้าทรัพย์ทั้งหมดภายในวันที่ 23 ก.พ.

สำหรับขั้นตอนการบังคับคดีทั่วไป เมื่อกรมบังคับคดีรับคำร้องขออายัดแล้วจะตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นว่า เป็นทรัพย์ของบุคคลใดบ้าง เพื่อแจ้งไปยังนายทะเบียนตามทรัพย์ที่จะขออายัด เช่น ที่ดิน ต้องแจ้งไปยังกรมที่ดิน ขณะเดียวกันจะแจ้งไปยังเจ้าของทรัพย์ เพื่อให้รับทราบหมายบังคับคดี รวมถึงทรัพย์ตามรายการอายัด เพื่อให้ดำเนินการร้องขัดทรัพย์หรือทุเลาการบังคับคดีทางปกครอง กรณีที่อาจโต้แย้งว่าไม่ใช่ทรัพย์ของตน

ลุยสืบล็อตแรก-บัญชีเงินเดือน

ส่วนทั้ง 6 รายที่ถูกกระทรวงพาณิชย์ทำหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ตามคำสั่งบังคับทางปกครองกรณีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการขายข้าวจีทูจี มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลการสืบทรัพย์ล็อตแรกที่ส่งไปให้กรมบังคับคดี เป็นบัญชีเงินเดือนของผู้ที่ถูกเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 6 ราย คือนายบุญทรง ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 1,700 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ชดใช้ 2,300 ล้านบาท นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และพ.ต.ท.วีระวุฒิ อดีตเลขานุการรมว.พาณิชย์ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีคดี ต้องชดใช้คนละ 4,000 ล้านบาท

หลังจากนี้ทางโจทก์คือ กรมการค้าต่างประเทศ จะเป็นผู้ไปดำเนินการสืบทรัพย์ หาข้อมูลว่าทั้ง 6 รายมีทรัพย์สินรายการใดบ้าง และต้องมีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โฉนดที่ดิน ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานที่ดิน หรือบัญชีธนาคารระบุชื่อผู้ที่ต้องการยึดทรัพย์ มาพิจารณา

เจ้าหน้าที่มีเวลา 45 วัน

ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า เมื่อมีคำสั่งทางปกครองต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม ครบ 45 วัน หากไม่มีการชำระถึงจะดำเนินการตามคำสั่ง หมายความว่ามีอำนาจแล้ว แต่ไม่ใช่ไปยึดเลย ต้องมีกระบวนการสืบทรัพย์ เสร็จเมื่อไร ยึดเมื่อนั้น มีระยะเวลา 10 ปี ใครไม่พอใจ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ขอให้ทุเลาหรือคุ้มครองชั่วคราวได้

ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กรมบังคับคดียังไม่ส่งคำสั่งยึดทรัพย์มาถึงตน ที่ผ่านมาเราได้ไปยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยฟ้องนายกฯ รมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ที่ออกคำสั่งมิชอบและขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองในการยึดทรัพย์ ซึ่งศาลปกครองกลางได้รับเรื่องไว้ และอยู่ระหว่างให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 ยื่นคำคัดค้าน หากกรมบังคับคดียื่นคำสั่งยึดทรัพย์มา ตนจะไปร้องศาลปกครองอีกครั้งเพื่อให้ทุเลาการยึดทรัพย์ไว้ก่อน

“บุญทรง”อุทธรณ์-ขู่ฟ้องกลับ

นายบุญทรงกล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้ส่งตัวแทนไปยื่นใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ทั้งที่กรมบังคับคดี กระทรวงพาณิชย์ และกรมการค้าต่างประเทศตามที่ศาลปกครองให้ความเห็นว่าตนยังมีช่องทางที่จะดำเนินการได้ตามพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง คือสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ออก คำสั่งบังคับทางปกครองได้ตามมาตรา 62 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งไม่ทราบว่าทั้ง 3 หน่วยงานจะใช้เวลาพิจารณาแล้วเสร็จเมื่อใด แต่หากยื่นอุทธรณ์แล้วไม่เป็นผล และยังจะยึดทรัพย์ก็จะเข้าเกณฑ์ที่ศาลพิจารณา เมื่อนั้นจะไปยื่นเรื่องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังปลัดกระทรวงพาณิชย์ส่งเรื่องให้กรมบังคับคดีทำหน้าที่ยึดทรัพย์แล้ว จะฟ้องกลับหรือไม่ นายบุญทรงกล่าวว่า ถ้ายังมีการดำเนินการต่อก็จะฟ้องร้องกลับ เพราะ การจะยึดทรัพย์ต้องมีกฎหมายอื่นมารองรับ ไม่ใช่ใช้มาตรา 44 การใช้มาตรา 44 แค่ออกให้นิติบุคคลคือกรมบังคับคดีมาดำเนินการติดตาม ยึด อายัดทรัพย์ แต่หมายความว่าผู้ที่ไปดำเนินการต้องเป็นเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องมีกฎหมายรองรับอำนาจ

“ภูมิ”ยอมรับเครียด

“ผมจะถามว่าใช้กฎหมายฉบับใดรองรับอำนาจ ซึ่งตามศาลปกครองที่ได้วินิจฉัยออกมา เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการพิจารณาตามคดีแพ่ง ไม่สามารถมายึดทรัพย์ได้ทันทีเพราะต้องมีกระบวนการและขั้นตอน ทำด้วยความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นเราจะฟ้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย” นายบุญทรงกล่าว

นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้มอบให้ทีมทนายดำเนินการตามขั้นตอน โดย 1-2 วันนี้ จะยื่นเรื่องขออุทธณ์คำสั่งศาลปกครองกลางอีกครั้งและจะรอการพิจารณาของศาลก่อนว่าจะทุเลาคำสั่งกระทรวงพาณิชย์หรือไม่ จากนั้นจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ยอมรับว่ากังวล ไม่มีใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วไม่เครียด ทุกวันนี้ข้าราชการฝ่ายที่มาเป็นพยานกลัวอำนาจรัฐ เพราะขณะนี้ฟ้ายังไม่ใสจึงไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด จึงต้องรอดูต่อไปเพราะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

คสช.งัดม.44ปลดผู้ว่าฯรฟท.

วันที่ 23 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่ 10/2560 เรื่อง การปรับปรุงการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยที่สมควรปรับปรุงการบริหารงานของ รฟท.ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้าคสช.โดยความเห็นชอบของคสช.จึงมีคำสั่ง ดังนี้

ให้คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย(บอร์ด รฟท.) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งและให้งดการใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา 24, 26, 27, 28 แห่งพ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็น บอร์ด รฟท. คือ นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ เป็นประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย น.ส.ชุณหจิต สังข์ใหม่ นายบวร วงศ์สินอุดม นายปิติ ตัณฑเกษม พล.ร.อ.ทวีชัย บุญอนันต์ นาวาอากาศเอก ธนากร พีระพันธุ์ นางอัญชลี เต็งประทีป นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ นายอำนวย ปรีมนวงศ์

ให้นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าฯ รฟท. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่ง และให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกฯ ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 68/2559 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 16 พ.ย.2559

ให้นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง รักษาการในตำแหน่งผู้ว่า รฟท. อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่านายกฯจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และในกรณีเห็นสมควรนายกฯหรือครม.อาจเสนอให้ คสช.แก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งนี้ได้ สั่งวันที่ 23 ก.พ. 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.

ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามนายวุฒิชาติถึงคำสั่งดังกล่าวได้รับคำตอบว่า หากมีการปลดจริงก็ไม่เป็นไร พร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีผลเป็นไปตามกฎหมาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่โครงการก่อสร้างของรฟท. เริ่มเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ และประกวดราคา ซึ่งปีนี้มีงานมากถึง 9 โครงการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น จึงจำเป็นต้องปรับปรุง บอร์ดรฟท. ให้มีบุคลากรที่หลากหลายเข้ามาช่วยทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลโครงการ รวมทั้งต้องให้เกิดความมั่นใจว่าโครงการจะเข้าสู่การปฏิบัติได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ล่าช้ามาระยะหนึ่งแล้ว คงถึงเวลาที่จะต้องเร่งรัดให้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนโครงการที่ดำเนินการไปแล้วเช่น รถไฟทางคู่ เส้นทาง จิระ-ขอนแก่น พบปัญหาการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเส้นทางลากผ่านหมู่บ้านทำให้หมู่บ้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เมื่อเร็วๆ นี้ นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคมต้องลงไปแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ผู้สื่อข่าวถามว่ามีปัญหาเรื่องความไม่โปรงใสในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายอาคมกล่าวว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับทุกมิติ ที่ผ่านมาผู้ว่าฯรฟท. ทำงานได้ในระดับหนึ่ง แต่เราต้องการให้บอร์ดและผู้ว่าฯรฟท.ลงไปดูและงานให้ใกล้ชิดมากขึ้น และไม่มีนอกมีใน

ฎีกาลดโทษ”สมยศ”-คุก7ปี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2962/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ: เสียงทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย จำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท เบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

อัยการโจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2554 ระบุความผิดสรุปว่า วันที่ 15 ก.พ.-15 มี.ค.2553 จำเลยได้จัดพิมพ์บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ มีเนื้อหา บทความสื่อในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งไม่มีมูลความจริง และขอให้นำโทษจำคุกคดีอาญาหมายเลขแดง อ.1078/2552 ที่หมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาแล้ว มาบวกกับโทษจำคุกคดีนี้ด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 พิพากษาจำคุกจำเลย 2 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี และให้นับโทษ 1 ปี คดีหมิ่นประมาทพล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุก 11 ปี ต่อมาวันที่ 19 ก.ย.2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

การฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายสมยศจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในชุดนักโทษ ซึ่งมีผู้มาให้กำลังใจ รวมทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และมีผู้สังเกตการณ์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศจนเต็มห้องพิจารณาคดี

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า ที่นายสมยศต่อสู้ว่าเป็นบรรณาธิการ ไม่ใช่ผู้เขียนบทความ และได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนบทความหมิ่นเบื้องสูง ไม่มีเจตนาและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันนั้น ศาลเห็นควรปรับบทลงโทษเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ เพศ อายุและการศึกษา แก้เป็นจำคุกฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 กระทงละ 3 ปี 2 กระทงรวม 6 ปี และให้นับโทษจำคุก 1 ปี ในคดีหมิ่นพล.อ.สพรั่ง รวมจำคุก 7 ปี

นายสมยศกล่าวภายหลังว่า ตนจำคุกมาแล้ว 5 ปีเศษ เดือนเม.ย.นี้จะครบ 6 ปี ก็ขอให้ปรองดองกันให้ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน