เปิดโต๊ะ-ระดมล่า “1ล้าน”ชื่อ ยื่นถอด7เสือ”กกต.” “วี วอทช์”ผ่าเลือกตั้ง! ชี้สงบ-แต่ไม่โปร่งใส พปชร.ขู่ฟ้องเพื่อไทย อนาคตใหม่ติวว่าที่สส. จับเซ็นสัตยาบัน5ข้อ

ระดมล่า 1 ล้านรายชื่อ ยื่นถอด ถอน 7 กกต. คสช.ชี้ใช้วิธีชุมนุมไม่เหมาะสม “อุตตม”ยันเร่งรวมเสียงตั้งรัฐบาล “สมศักดิ์” เย้ยบิ๊กเพื่อไทยดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อเข้าสภา เล็งฟ้องปมบีบฝั่งตรงข้ามเป็นเผด็จการ จวก “ธนาธร” กลืนน้ำลายหนุน “หน่อย” นายกฯ “ธนาธร” เผยค่าตัวว่าที่ส.ส.อนาคตใหม่พุ่งเกิน 10 ล้าน จับมือลงสัตยาบัน 5 ข้อ ยึดมติพรรค ไม่ฉีกอุดมการณ์ “ปิยบุตร” มั่นใจไร้งูเห่าสีส้ม “อุทัย” ร่วมติวเข้ม แนะอภิปรายในสภาให้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใคร “จตุพร” อัดเลือกตั้งนำสู่ทางตัน เสียวงูเห่าโผล่พรรคเพื่อชาติ

“อุตตม”ยันเร่งรวมเสียงตั้งรบ.

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงแนวทางการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลว่า พรรคพลังประชารัฐมีความตั้งใจพัฒนาพรรคให้เป็นพรรคการเมืองถาวร เพื่อปฏิบัติตามเจตนารมณ์ที่พี่น้องประชาชนเลือกพวกเราเข้ามาทำหน้าที่ การรวมเสียงของพรรคพลังประชารัฐขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อดำเนินการไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคมีจุดยืนชัดเจนที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่แบ่งสี ไม่แบ่งฝ่าย นำประเทศสู่ความสงบสุข

ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐต้องดำเนินการหารือกับพรรคอื่นที่มีอุดมการณ์เดียวกัน โดยพรรคเราเชื่อว่ายังมีเวลาที่จะเดินสายหารือ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

“สมศักดิ์”เย้นพท.ดิ้น-ขู่ฟ้องปมปชต.

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการพยายามตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย(พท.) ว่า ส่วนตัวคิดว่ากรณีของพรรคเพื่อไทย ผู้ใหญ่ที่เป็น ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์) และมองดูตัวเองแล้วว่าไม่มีโอกาสเข้าสภา หากไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วจะยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ แน่นอน ถือเป็นเฮือกสุดท้ายที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องสู้อย่างเต็มที่ เพราะมองดูแล้วเสียงยังปริ่ม หากไม่ได้แสดงออกอะไรเต็มที่อาจจะไม่มีโอกาสได้แสดงอีก ถือเป็นการสู้เฮือกสุดท้ายแล้วหรือไม่

“การแสดงออกมานั้นหากไม่สมหวัง อาจชวนพี่น้องประชาชนออกมาโดยสร้างความขัดแย้งอีกหรือไม่ เพราะแต่ละคนที่ออกมาพูดในลักษณะเหมือนเรียกร้องในมุมของ ตัวเองเป็นหลัก และทำให้ประชาชนเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นการจุดชนวนความขัดแย้ง และที่พวกเขาพยายามเรียกตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ตรงนี้เหมือนพยายามแบ่งฝักแบ่งฝ่าย บีบคนที่ไม่สนับสนุนตนเองเป็นเผด็จการ ไม่ทราบว่าจะฟ้องร้องได้หรือไม่ นักกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐกำลังสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่” นาย สมศักดิ์กล่าว

แนะรัฐทำนโยบายพปชร.ล่วงหน้า

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยังไม่ตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายไหน นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา แต่อาจไม่ทันใจประชาชน เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถไปเร่งรีบอะไรได้ ส่วนการรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลนั้น คิดว่าพรรคที่ไม่ได้ไปลงสัตยาบันกับพรรคเพื่อไทย คงเอนเอียงมาทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรคงต้องไปพูดคุยกันอีกที

ต่อข้อถามถึงการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงรับรองผลการเลือกตั้ง นายสมศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ เป็นจุดแข็งหนึ่งที่ทำให้ช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่ และอยากเสนอให้รัฐบาลดำเนินการนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐนำไปหาเสียง ควบคู่ไปกับช่วงเวลาที่รอคอย เช่น ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ที่เป็นเรื่องการแก้ไขกฎหมาย ราคาสินค้าเกษตร การช่วยชาวนา ที่พรรคมีนโยบายช่วยเหลือทั้งค่าปลูก ค่าเก็บเกี่ยว สามารถเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะเป็นเรื่องดีๆ ที่ควรทำอยู่แล้ว หรือเห็นว่านโยบายของพรรคไหนดีทำได้เลยก็ควรนำมาพิจารณา ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลสามารถทำต่อได้เลย ไม่ต้องกลายเป็นช่วงหลุมอากาศ

ซัด”ธนาธร”กลืนน้ำลายตัวเอง

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่รอประกาศผลจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเป็นทางการเท่านั้น อยากฝากถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่เคยพูดว่าจะสนับสนุนนายกฯ ที่มาจากส.ส.เท่านั้นว่า วันนี้กลืนน้ำลายตัวเองแล้วหรือ ถึงกลับคำพูดไปสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ให้เป็นนายกฯ อยากฝากให้พี่น้องประชาชนจับตาดูให้ดีสำหรับจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ที่เคยให้คำมั่นกับพี่น้องประชาชนไว้ว่ายังน่าเชื่อถืออยู่หรือไม่

นายธนกรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ชูนโยบายจะแก้รัฐธรรมนูญ โจมตีคนร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่พรรคอนาคตใหม่ได้อานิสงส์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้จนได้ส.ส. จำนวนมาก โดยเฉพาะส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แล้วยังคิดจะล้มล้างรัฐธรรมนูญอีก นาย ธนาธรน่าจะขอบคุณคนร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ นอกจากนี้ อยากจะให้หยุดพฤติกรรมใช้วาทกรรมแบ่งฝ่ายประชาธิปไตย แบ่งแยกประชาชนได้แล้ว เพราะการเลือกตั้งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทุกพรรคลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ตามกติกา การเลือกตั้งจบแล้ว อย่าสร้างความขัดแย้งในหมู่คนไทยอีกเลย

จี้หยุดใส่ร้าย-สร้างแตกแยก

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กว่า โดยปกติพรรคการเมืองใหญ่แทบทุกพรรค และส.ส.ที่ลงสมัครในเขตนั้นๆ ลงทุนลงแรงมากในการหาเสียงแต่ละครั้ง ดังนั้น ทุกครั้งหลังการลงคะแนนเสียง ปิดหีบ จะมีการส่งคนหรือตัวแทน ไปเฝ้าดูการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งทุกหน่วย แบบไม่กะพริบตา จึงเห็นว่าทุกพรรคการเมืองจะมีคะแนนที่ใกล้เคียงกับ กกต. อย่างไม่ต้องสงสัย ยกเว้นเขตที่คะแนนพรรคที่ส่งเข้ามามีชนะกลายเป็นแพ้ ทางส.ส. ผู้สมัคร และพรรคนั้นๆ จะร้องเรียนทันทีเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

หลังปิดหีบลงคะแนน 24 มี.ค. กกต.แถลงผลการลงคะแนน 95% ว่ามีผู้มาใช้สิทธิ์ 65.96% รวมจำนวน 33,775,230 คน และเมื่อวันที่ 28 มี.ค. กกต.แถลงผลการลงคะแนน 100% โดยผู้มาใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 74.69% จำนวนเพิ่มเป็น 38,268,375 คน 4 วันมีบัตรเพิ่มเติมเข้ามา 4,493,145 ใบ โดยมีสัดส่วนคะแนนแต่ละพรรคดังนี้

พรรคพลังประชารัฐจาก 7.94 เป็น 8.43 เพิ่ม 6.23% พรรคเพื่อไทย จาก 7.4 เป็น 7.9 เพิ่ม 6.71%, พรรคอนาคตใหม่ จาก 5.87 เป็น 6.27 เพิ่ม 6.74% และพรรคประชาธิปัตย์ จาก 3.7 เป็น 3.95 เพิ่ม 6.57% ซึ่งสัดส่วนคะแนนก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ทุกพรรคเฉลี่ยเพิ่มคะแนนกันอย่างน่าจะเป็น ดังนั้น จึงขออย่าพยายามใช้ประเด็นการเพิ่มขึ้นมาของคะแนนนั้นเป็นประเด็นการเมือง เพราะสัดส่วนคะแนนที่เพิ่มของพรรคพลังประชารัฐได้น้อยกว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และอนาคตใหม่ พร้อมติดแฮทแทก #หยุดสร้างความแตกแยกในประเทศไทย #ตั้งไม่ได้ #เลิกใส่ร้ายพรรคอื่น

ประชาธิปไตยใหม่แทงกั๊กจุดยืน

นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชา ธิปไตยใหม่ (ปธม.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคจะได้ส.ส. 1 ที่นั่งจากการคำนวณตัวเลขส.ส.แบบบัญชีรายชื่อว่า จนถึงวันนี้ยังไม่มั่นใจว่า จะมีที่นั่งในสภา เพราะคะแนนยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ ตามที่สื่อรายงานพรรคประชาธิปไตยใหม่มีประมาณ 39,000 คะแนนเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงค่าเฉลี่ยที่จะมีส.ส. พูดจากใจจึงคิดว่า ไม่ได้มากกว่า เราเป็นนักการเมือง อยู่ในสนามเรารู้อยู่ว่าการเลือกตั้งเที่ยวนี้สกปรกกว่าในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม อีก มีการใช้เงินซื้อ ใช้อำนาจรัฐช่วยทุกอย่างจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอ จึงไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่

ขณะที่ผลการเลือกตั้งที่ กกต.ประกาศมาตัวเลขก็ขึ้นๆ ลงๆ แถลงไม่รู้กี่รอบ จนสังคมไม่เชื่อแล้ว สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าองค์กรอิสระต่างๆ ไม่ได้วางตัวเป็นกลาง ไม่ได้เป็นที่พึ่งของบ้านเมืองเท่าที่ควรจะเป็น ทำให้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ นี่ถือว่าเป็นปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่า 12 พรรคเล็กรวมพรรคประชาธิปไตยใหม่รวมตัวต่อรองโควตารัฐมนตรีเพื่อแลกกับยกมือสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุรทินกล่าวว่า “จริงๆ ผมไม่ได้สนใจเลย วันนี้ฝั่งไหนก็นับรวมพรรคประชาธิปไตยใหม่ไปอยู่ด้วยทั้งนั้น ฝั่งพรรคเพื่อไทยก็มีชื่อเรา ฝั่งพลังประชารัฐก็รู้จักกัน ส่วนตัววันนี้ไม่รู้จะได้ส.ส.หรือไม่ แต่ยืนยันว่าผมเป็นตัวของตัวเอง และจะขอแสดงจุดยืนภายหลังที่ กกต.ประกาศผลแล้ว ถ้าได้เป็นผู้แทนจะพูดให้เต็มที่เลย”

“จตุพร”ไขก๊อกพ้นกองเชียร์พช.

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่อิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว กทม. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ (พช.) แถลงว่า ตนขอประกาศยุติบทบาทการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อชาติและกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ซึ่งตนได้แจ้งต่อหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคให้รู้แล้วตั้งแต่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่วนภารกิจของตนที่ประกาศไว้คือการรวบรวมเสียงฝั่งประชาธิปไตยให้ไป เทรวมในวันเลือกตั้ง เมื่อพรรคเพื่อชาติแถลงจุดยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย จึงถือว่าภารกิจตนเสร็จสิ้น ต่อไปนี้ตนจึงเหลือสถานะเดียวคือประธาน นปช.

การไปยื่นยุบพรรคเพื่อชาติของผู้กองปูเค็ม หรือร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล ในประเด็นครอบงำพรรคเพื่อชาตินั้น ถือเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคเพื่อชาติและฝ่ายกฎหมายที่ต้องไปชี้แจงต่อ กกต. ผู้กองปูเค็มตนไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนว่าพ้นตำแหน่งราชการแล้วหรือยัง ขณะที่เจ้าตัวประกาศว่าพ้นแล้ว แต่ทางการข่าวยังมีข้อสงสัยกันอยู่ ผู้กองปูเค็มคงไม่ทราบว่าตำแหน่งผู้ช่วยหาเสียงของตนนั้นได้รับรองจาก กกต. ดังนั้น การขึ้นเวทีปราศรัยจึงกระทำได้ ในลักษณะที่ต้องได้รับค่าจ้าง ซึ่งถ้าตนได้รับค่าจ้างดังกล่าวก็จะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิคนปัญญาอ่อน ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของตน ประเด็นดังกล่าวจึงไม่ได้น่าวิตก

จวกเลือกตั้งโสมม-สู่ทางตัน

นายจตุพรกล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ตนต้องการเห็นการแสดงความรับผิดชอบของ กกต. เพราะการเลือกตั้งปี 2562 นี้เกินไปกว่าที่จะใช้คำว่าเลือกตั้งสกปรกเหมือนปี 2500 แต่น่าจะใช้คำว่าเลือกตั้งโสมมหรือเลือกตั้งอื่นใดที่เลวร้ายมากกว่าไปสกปรก เพราะ กกต.ปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นมากมายในการเลือกตั้ง และยังมีการนับคะแนนที่ถูกยุติลงอย่างไม่เป็นทางการในวันเลือกตั้ง ทั้งที่เป็นการนับคะแนนที่หน่วยแค่บวกตัวเลขให้ตรงข้อเท็จจริงเท่านั้น ดังนั้น เมื่อวันที่ 24 มี.ค. กกต.ประกาศตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 33 ล้านเศษ แต่พอมาวันที่ 28 มี.ค. กกต.ประกาศอย่าง ไม่เป็นทางการครั้งที่ 2 จำนวนมากกว่า 38 ล้านเศษ แสดงให้เห็นว่าคะแนนเพิ่มมา 4 ล้านเศษ สะท้อนให้เห็นว่าคะแนนเพิ่มมา วันละกว่า 1 ล้านคะแนน

อีกทั้งจำนวนบัตรดีกับจำนวนคะแนนรวมของแต่ละพรรคมีความแตกต่างกันมากกว่า 2 ล้านคะแนน หรือแม้แต่จำนวนบัตรที่ใช้กับจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ก็ยังมีความต่างกันเกือบ 2 ล้านเช่นกัน ถึงแม้จะมีการนำคำว่าบัตรเขย่งมาใช้ ซึ่งเกิดมาตนก็เพิ่งเคยได้ยิน ทั้งที่ในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดการรับบัตรแล้วไม่ไปใช้สิทธิ์ แต่ กกต.อธิบายเพื่อที่จะให้รอดพ้นสิ้นข้อสงสัย แต่ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้น และทำให้เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งมีความห่วงใยว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 จะนำพาสู่วิกฤต คือพาการเมืองสู่ทางตัน เพราะทั้ง 2 ฝั่งทางการเมือง ไม่ว่าซีกใดได้เสียงข้างมากที่ไม่เด็ดขาดก็ไม่สามารถเดิน ต่อไปได้ทั้งคู่

เสียวเพื่อชาติมีงูเห่า-อารีโต้ถูกซื้อ

นายจตุพรกล่าวว่า การเมืองจะเดินต่อไปได้ในตอนนี้คือการจะต้องไปปล้นสมาชิกพรรคอื่นที่เรียกว่ากลุ่มงูเห่า ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 พรรคที่กำลังถูกกวาดต้อนโดยการต่อรองผลประโยชน์ และตนยังไม่รู้ว่าสมาชิกพรรคเพื่อชาติมีถูกดึงไปบ้างหรือไม่ เสียวอยู่เหมือนกัน

“ผมได้คุยกับฝั่งสืบทอดอำนาจระบุว่าเสียงที่ต้องสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ในสภาต้องได้ 270 ที่นั่ง ซึ่งถ้านับตอนนี้ไม่มีทางถึง แม้ว่าจะมีการแจกใบแดง เหลือง ส้ม ดำ ขาว ซึ่งเป็น 5 ใบในการเลือกตั้งของไทย แต่ผลการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถ้าแจกใบแดงให้เพื่อไทยก็ยังเหลืออนาคตใหม่ หรืออื่นๆ ในซีกประชาธิปไตย และถ้ามีเลือกตั้งซ่อมจะเกิดปรากฏการณ์รณรงค์หาเสียงเพื่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งครั้งนี้อาจจะเป็นพรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย กับฝั่งสืบทอดอำนาจ ยิ่งจะทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธามากที่สุด แล้วผมบอกไม่ได้ว่าจะนำไปสู่อะไร” นายจตุพรกล่าว

ด้านนายอารี ไกรนรา รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ว่าที่ส.ส.พรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ไม่มีบุคคลใดของขั้วการเมืองอีกฝ่ายติดต่อเข้าหา และหากติดต่อมาจริงยืนยันว่าจะไม่ไปร่วมงาน เพราะตนมีอุดมการณ์ชัดเจนต่อการร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน ตนไม่ไปเป็นงูเห่า หรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้เสนอเงิน 50 ล้านบาทก็ไม่สนใจ และยืนยันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น

“อุทัย”ติวว่าที่ส.ส.อนาคตใหม่

ที่ จ.ชลบุรี พรรคอนาคตใหม่ จัดสัมมนาว่าที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ โดยนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ว่า การเข้ามาเป็นส.ส. สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงและต้องท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ คือ การที่เราเข้ามาอยู่ในจุดนี้จะทำประโยชน์เพื่อใคร นอกจากนี้ ต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างเข้มข้นมาก ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ที่ชัดเจนว่ามีการยึดอำนาจแล้วผู้ที่ยึดอำนาจอยากจะอยู่ครอบครองต่อ จึงมีการออกแบบกฎกติกาต่างๆ เพื่อให้ตนเองอยู่ต่อได้ด้วย เช่น การให้ ส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ เป็นต้น

ตอนนี้มีการพูดถึงอย่างมากคือสิ่งที่เรียกว่างูเห่า ซึ่งอาจจะมี ส.ส.ย้ายพรรค ฝืนมติพรรค ในสมัยตนเรียกว่าช็อกการี หรือ ขายตัว ราวปี 2512 เคยมีลูกน้องของนายทหารฝ่ายสืบทอดอำนาจมาหา บอกว่าเจ้านายอยากได้ตัว คนอื่นๆ รับไป 3.5 แสน กับรถแลนด์ โรเวอร์ ช่วงสั้น ขณะที่ตนถ้าขายตัวจะได้ 10 เท่า และแลนด์ โรเวอร์ ช่วงยาว ตอนนั้นต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก เพราะถ้าไม่ไปก็เป็นฝ่ายค้านก๊อกๆ แก๊กๆ ต่อไป แต่สุดท้ายตอบกลับคนที่มาหาว่าเงินอยากได้แน่นอน แต่ไม่ทำ จึงอยากบอกกับว่าที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ให้เชื่อมั่นในรัฐสภา เชื่อมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อเข้าไปในสภาแล้วไม่ต้องกลัว พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ต้องเกรงใจผู้แทนเก่า และไม่ต้องกลัวพวกด๊อกเตอร์ต่างๆ ต้องยืนยันความคิดเห็นของเรา เป็นปากเสียงให้กับประชาชนให้ได้

” ปิยบุตร”ลั่นไร้งูเห่าสีส้ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายมีกิจกรรมแบ่งกลุ่มเวิร์กช็อปหัวข้อ “ต้องการทำอะไรเมื่อได้เป็น ส.ส.” และช่วงเย็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อทั้งหมดลงนามคำประกาศสัตยาบันร่วมกันสำหรับการเตรียมตัวทำงานในสภาผู้แทนราษฎร โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตลอด 13 ปีที่ผ่านมาเรามีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจำนวนมากสิ้นหวังกับการเมือง สิ้นหวังกับระบบรัฐสภา ดังนั้น 6.2 ล้านเสียงที่พรรคอนาคตใหม่ได้มา เป็นคะแนนของความหวังจากประชาชนที่อยากเห็นเราไปทำงานให้ อยากเห็นเราเดินหน้าการเมืองแบบใหม่ อยากเห็นเราเป็นส.ส.ที่แตกต่างจากในอดีต เมื่อเราได้รับอาณัตินี้มาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปสร้างการเมืองที่ดีขึ้นตามนโยบายที่เคยให้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นการยุติการสืบทอดอำนาจของคสช. ปฏิรูปกองทัพ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฯลฯ เราจะไม่มีวันทรยศพี่น้องประชาชน

“กรณีเรื่องของงูเห่า ยืนยันว่าไม่มีงูเห่า สีส้มอย่างแน่นอน เพราะอนาคตใหม่รวมกันด้วยอุดมการณ์ ด้วยความเชื่อมั่นแบบเดียวกัน และผมเชื่อมั่นว่าว่าที่ส.ส.ของพรรคทั้งหมดตระหนักร่วมกันดีถึงการที่เรามีผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ มีสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ช่วยเหลือและทำงานมาด้วยกันอย่างหนัก และเพื่อให้นี่เป็นมิติใหม่ทางการเมือง ผมขอเชิญทุกท่านลงชื่อในคำประกาศสัตยาบัน ซึ่งแม้ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่จะเป็นหมุดหมายใหม่ว่า เราเริ่มต้นทำงานการเมืองด้วยอุดมการณ์ ด้วยความหวัง และเราจะไม่ทรยศพี่น้องประชาชนที่ให้ความไว้วางใจเรา” นายปิยบุตรกล่าว

“ธนาธร”เผยค่าตัวเด็กอนค.10 ล.

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ว่าที่ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ตอนนี้มีราคาตลาด ตามที่เป็นข่าวแล้ว 10 ล้านขึ้นไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับหลายคน และมีน้อยคนนักจะเคยเห็นเงินสดจำนวนนี้ ซึ่งถ้าเรารับไปย่อมทำให้ชีวิตดีขึ้นแน่ แต่คำถามที่อยากชวนทุกท่านถามตนเองคือ เรามารวมกันที่นี่เพราะอยากมีอนาคตดีขึ้นเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือเปล่า หรือเข้ามาเพราะอยากให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศดีขึ้น

“คุณมีทางเลือกที่จะหยิบเงินจำนวน 10 ล้านนั้นแล้วหันหลังให้เพื่อนเราในห้องนี้และจากไป หรือปฏิเสธมันแล้วนั่งอยู่กับเราทุกคนในห้องนี้ และร่วมกันยืนยันว่าอนาคตที่เราอยากเห็นคือ สิ่งที่เราจะร่วมกันสร้างขึ้นมาผ่านพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ผ่านพรรคการ เมืองที่ยึดโยงกับสมาชิก ยึดโยงกับประชาชน นั่นคือพรรคที่เราอยากให้อนาคตใหม่เป็น และเราจะพาพรรคไปถึงจุดนั้นด้วยกัน ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอย่างนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยืนยันจุดยืนของพรรคให้มั่นคงแข็งแรง เราจะไม่ยอมให้ก้าวแรกของพรรคอนาคตใหม่ในสภาผู้แทนราษฎรต้องเสื่อมเสีย แปดเปื้อน จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนร่วมลงสัตยาบันร่วมกัน” นายธนาธรกล่าว

จับลงสัตยาบัน 5 ข้อ

จากนั้นนายธนาธรได้อ่านคำประกาศสัตยาบันของสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นส.ส.ว่า ขอให้สัตย์ปฏิญาณในการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ดังนี้ 1.จะสนับสนุนและผลักดันบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามมติของพรรคอนาคตใหม่ และจะไม่เสนอชื่อหรือให้ความเห็นชอบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ อย่างเด็ดขาด เพื่อยุติการสืบทอดอำนาจของคสช. 2.จะสนับสนุนและผลักดันการลบล้างผลพวงรัฐประหารของคสช. 3.จะสนับสนุนและผลักดันให้มีการปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย 4.จะยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ทุกประการ และ 5.จะต่อสู้ร่วมกันจนกว่าจะ ได้รัฐธรรมนูญใหม่ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

“ข้าพเจ้าซึ่งลงนามตามรายชื่อท้ายคำประกาศนี้ขอประกาศว่า คำประกาศนี้เป็นไปตามมโนสำนึกของข้าพเจ้าที่มีอุดมการณ์ร่วมกันกับพรรคอนาคตใหม่ และข้าพเจ้าจะยึดมั่นปฏิบัติคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ข้าพเจ้าได้หาเสียงไว้กับประชาชน และส่งผลให้ประชาชนได้มอบความไว้วางใจเลือกตั้งข้าพเจ้าเป็นส.ส. ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ทรยศต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดโดยเด็ดขาด” คำประกาศสัตยาบันระบุ ซึ่งในตอนท้ายมีการลงชื่อของผู้ที่คาดว่าจะได้รับเลือกเป็นส.ส.พรรคอนาคตใหม่ทั้งหมด โดยให้แต่ละคนเก็บไว้คนละ 1 ชุด ท่ามกลางผู้สมัครส.ส.ของพรรค รวมถึงเจ้าหน้าที่พรรคกว่า 500 คน ร่วมเป็นสักขีพยาน

เด็กปชป.ฟ้องผู้สมัครพปชร.

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ว่าที่ ส.ส. ราชบุรี เขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารหลักฐานชี้แจงกรณีที่ น.ส.ชะวรลัทธิ์ ชินธรรมมิตร ผู้สมัคร ส.ส.ราชบุรี เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง กกต.กลางว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เรื่องแต่งกายใช้ยศตำแหน่งเครื่องราชฯ มาใช้ประกอบการหาเสียงเลือกตั้งว่า ตามที่มีผู้ร้องเรียนได้นำภาพถ่ายของตนไปยื่นให้ กกต.นั้น เป็นภาพถ่ายเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2560 ขณะที่ตนเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ศาลาอเนกประสงค์โรงเรียนวัดบ้านโป่ง(สามัคคีคุณูปถัมภ์) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

ในวันนั้นตนแต่งกายด้วยชุดขาวข้าราช การเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเครื่องหมายของหน่วยงาน ถูกต้องตาม พ.ร.บ.เครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น 2509 ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งหลังจากงานพระราชพิธีแล้วเสร็จ ตนได้นำมาโพสต์ลงใน เฟซบุ๊กส่วนตัวตามปกติ แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2562 ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐได้นำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียน กกต.กลาง กระทั่งต่อมาสื่อออนไลน์หลายสำนักได้นำมาเผยแพร่ ส่งผลทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นตนจะยื่นฟ้องคดีต่อศาล ทั้งในส่วนของผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐและสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว ในข้อหาหมิ่นประมาท ก่อให้เกิดการเสื่อมเสียชื่อเสียง และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อไป

กกต.แจงคลิปนับคะแนน

วันเดียวกัน สำนักงานกกต.ได้ชี้แจงประเด็นข้อสงสัยทางสื่อสังคมออนไลน์ 2 กรณี โดยกรณีที่ 1 ตามที่ข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์เป็นภาพการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งไม่ทราบสถานที่ใด โดยกรรมการที่ขานคะแนนไม่ได้ยกบัตรเลือกตั้งขึ้นแสดงให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้เห็นอย่างชัดเจน

สำนักงาน กกต.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดสระแก้วแล้วทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่หน่วยเลือกตั้งที่ 12 ต.วังทอง อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ซึ่งได้ดำเนินการตรวจมูลกรณีเบื้องต้น ทราบว่าการกระทำอาจไม่เป็นไปตามระเบียบของกกต. ประกอบกับต่อมาได้มีผู้ยื่นคำร้องกรณีดังกล่าวด้วยจึงได้รวมดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปในคราวเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะถึงขั้นไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ยันถูกต้องตามระเบียบเป๊ะ

กรณีที่ 2 ที่มีภาพปรากฏตามสื่อโซเชี่ยลและปรากฏเป็นคลิปการทานคะแนนเลือกตั้งของเขตเลือกตั้งที่ 5 และหน่วยเลือกตั้งที่ 2 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โรงเรียนวัดอุทัยธาราม สำนักงาน กกต.ได้ตรวจสอบกับสำนักงาน กกต.ประจำกรุงเทพฯ แล้วได้รับการชี้แจงว่า ในการลงคะแนนเลือกตั้งดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิ์ 516 คน เป็นบัตรดี 501 ใบ เป็นบัตรเสีย 6 ใบ บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 9 ใบ โดยการนับคะแนนมีสื่อมวลชน ตัวแทนพรรคการเมืองที่แจ้งชื่อเข้าร่วมสังเกตการณ์ขั้นตอนการนับคะแนนจนสิ้นสุดการนับคะแนนด้วย

กรณีการขานบัตรเสียเป็นบัตรดีที่ปรากฏตามคลิป กกต.กทม. กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง(กปน.) ตามคลิปที่ปรากฏให้การยืนยันว่าได้นับคะแนนถูกต้องตามระเบียบกฎหมายทุกประการ คลิปที่ปรากฏเป็นเพียงบางช่วง บางตอนของเหตุการณ์การนับคะแนน โดยขณะที่กรรมการคนหนึ่งกำลังขานคะแนน ปรากฏว่ามีบัตรเลือกตั้งที่กากบาททับหมายเลขผู้สมัคร แล้วขานคะแนนว่าบัตรดี กรรมการอีกคนหนึ่งจึงได้ท้วงว่าบัตรดังกล่าวเป็นบัตรเสีย ซึ่งผู้ขานจึงขานคะแนนใหม่ในทันทีว่าบัตรเสีย แล้วกรรมการอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ขีดคะแนนในแบบขีดคะแนนได้ขานรับว่าเป็นบัตรเสียและขีดลงในช่องบัตรเสียของแบบขีดคะแนน จากนั้นประธานกปน.พร้อมด้วยกปน.อีกคนได้ลงรายมือชื่อสลักหลังบัตรว่า “เสีย” และพับบัตรใบนั้นลงใส่ตะกร้าบัตรเสียทันที

ดังนั้น คลิปที่มีการเผยแพร่ดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังในการเผยแพร่หรือแชร์คลิป ซึ่งอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

วี วอทช์แถลงผลจับตากาบัตร

เมื่อเวลา 10.10 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เครือข่าย We Watch (วี วอทช์) จัดแถลงรายงานเบื้องต้นการสังเกตการณ์เลือกตั้งส.ส. วันที่ 24 มี.ค. โดยมีนายเอกพันธุ์ ปิณฑวณิช ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล นายสาเล็ม มะดูวา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ผู้ประสานงานภาคกลาง เครือข่ายวี วอทช์ นายโอมาร์ หนุนอนันต์ โฆษกวี วอทช์ และนายพีรวิชญ์ ขันติสุข ฝ่ายวิเคราะห์ของวี วอทช์ ร่วมแถลงข่าว

นายเอกพันธุ์กล่าวว่า การรายงานผลการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ไม่ใช่การจับผิดกกต.หรือพรรคการเมืองใด แต่ตั้งใจทำให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เราไม่ได้คาดหวังว่ากกต.จะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดเลย เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากกกต.ขาดความน่าเชื่อถือจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของกกต. ดังนั้น การรายงานผลจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เกิดความกระจ่างมากขึ้น หากกกต.สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้จะทำให้สังคมเกิดความยอมรับ สร้างศรัทธากลับคืนมาให้กกต.เอง

นายโอมาร์ กล่าวว่า อาสาสมัครของวีวอทช์ผ่านการฝึกฝนโดยผู้เชี่ยวชาญจาก เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี(อันเฟรล) ในวันนี้เป็นเพียงรายงานบางส่วน วีวอทช์จะสังเกตการณ์กระบวนการหลังการเลือกตั้ง เช่น การตัดสิทธิผู้สมัคร การให้ใบเหลืองใบแดงด้วย พร้อมยืนยันที่จะยืนอยู่ข้างข้อเท็จจริงและหลักการ

ชี้เลือกตั้งสงบแต่ไม่โปร่งใส

ด้านนายพีรวิชญ์ กล่าวว่า วีวอทช์สังเกต การณ์การเลือกตั้งใน 3 ช่วง คือ 1.ก่อนการเลือกตั้ง 2.ในวันเลือกตั้ง และ 3.หลังวันเลือกตั้ง โดยมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ “เป็นการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ดำเนินไปด้วยความสงบ แต่ไม่โปร่งใส การขาดประสิทธิภาพในการจัดการเลือกตั้ง และความยุติธรรม เป็นคำถามสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้”

สำหรับในวันเลือกตั้งล่วงหน้า เราดูทั้งหมด 60 หน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพฯ พบว่าหลายหน่วยเลือกตั้งมีผู้มาใช้สิทธิ์จำนวนมาก บางคนใช้เวลาเลือกตั้ง 79 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างนานสำหรับการเลือกตั้ง ส่วนวันเลือกตั้งจริงจาก 1,918 หน่วยที่สังเกตการณ์ พบ 3 ประเด็นที่น่าสนใจ คือเจ้าหน้าที่รปภ.เข้ามาข้างคูหาที่กำลังมีผู้ใช้สิทธิ ปฏิบัติงานแทนกรรมการประจำหน่วย และพกพาอาวุธ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ไม่น่าจะผิดกฎหมายไทย แต่ขัดกับหลักสากล โดยคู่มือของกกต.บอกว่าเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยจะต้องสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง นั่นหมายความว่า สามารถไปทำหน้าที่ตรงนี้แทนได้ แต่ในหลักสากลแล้ว การที่คุณมีอาวุธแล้วไปแตะต้องอุปกรณ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ดังนั้น กกต.จำเป็นต้องทบทวนกฎหมายในเรื่องนี้

มีหลักฐานจนท.ไม่เจาะบัตร

นายพีรวิชญ์กล่าวว่า ต่อมาคือส่วนการนับ การประมวลผล และการประกาศคะแนน พบว่าร้อยละ 98.8 สามารถปิดหน่วยได้ตรงเวลา แต่สิ่งที่เป็นเรื่องใหญ่คือ ร้อยละ 19.1 ไม่มีการเจาะบัตรที่ไม่ได้ใช้ออกเสียง ทั้งที่ประเด็นนี้อยู่ในคู่มือของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งต้องทำเป็นสิ่งแรกก่อนปิดหน่วย เมื่อเจาะเสร็จก็ต้องเอาเชือกร้อย และมัดรวมอยู่ด้วยกันเพื่อไม่ให้บัตรนั้นถูกนำไปใช้อีก นอกจากนี้ ยังมีคำถามว่าบัตรที่นับว่าเป็นบัตรดีหรือบัตรเสียแล้วจะต้องเจาะด้วยหรือไม่ ถ้าไปดูในคู่มือของกรรมการประจำหน่วย บอกอย่างละเอียดว่าไม่ว่าจะเป็นบัตรดีหรือบัตรเสียที่นับแล้วจะต้องถูกเจาะ ฉะนั้น หน่วยเลือกตั้งที่เราเห็นว่าไม่มีการเจาะเท่ากับทำผิดระเบียบ

นายสาเล็มกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเราต่อกกต.มี 5 ข้อ ได้แก่ 1.ต้องเปิดเผยการนับคะแนนแบบนับมือเพื่อสามารถนำมาเปรียบเทียบกับแอพพลิเคชั่นหรือ Rapid Report 2.จัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบแอพ พลิเคชั่นในกระบวนการทำงาน การป้องกันการถูกเจาะระบบ รวมถึงผลคะแนนต่างๆ ที่ได้รับรวบรวมมาจากกรรมการประจำหน่วยในแต่ละเขตทั่วประเทศ 3.การให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการการเลือกตั้งแก่ผู้มาใช้สิทธิ์ ซึ่งจะสอดคล้องกับจำนวนบัตรเสียที่มีค่ามากกว่ามาตรฐานสากล

4.กกต.จัดให้มีแบบแผนปฏิบัติอบรม เจ้าหน้าที่ประจำหน่วย ให้มีเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และ 5.ให้มีการทบทวนข้อกฎหมายระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่สังคมเห็นว่าไม่ได้สอดคล้องหรือสะท้อนความต้องการของประชาชน เช่น บัตรเลือกตั้งที่ไม่ได้ถูกนับของประเทศนิวซีแลนด์ การเปิดช่องทางให้หน่วยงานภาคประชาสังคมขอใบอนุญาตในการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง

แนะผู้บริหารมช.เลิกป้องทหาร

นายอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษย ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บริหาร ม.เชียงใหม่ (มช.) ห้ามนักศึกษาล่าชื่อถอด กกต. ว่า มีการใช้เงื่อนไขว่านักศึกษาไม่ได้ขออนุญาตใช้สถานที่บริเวณโรงอาหาร อมช. ม.เชียงใหม่ เพื่อใช้ทำกิจกรรม ทางนักศึกษาจึงย้ายไปยังคณะนิติศาสตร์แทน มองว่าการสั่งห้ามการทำกิจกรรมของนักศึกษาจาก ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกิดจากความตื่นเต้นและหวาดกลัวเกินไปว่ากระทบกระเทือนต่อรัฐบาลทหาร ซึ่งควรลดความหวาดกลัวนี้ลงได้แล้ว เนื่องจากประเทศไทยเพิ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักศึกษาที่ออกมาทำกิจกรรมถือว่ามีจุดยืนที่ชัดเจน ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เพราะก่อนที่พวกเขาจะคิดล่าชื่อต้องมีกระบวนการคิดเกิดขึ้นแล้วว่า กกต.ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งเป็นอย่างไร

“กระแสการล่าชื่อของนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศคงจะยังไม่ได้นำไปสู่การรวมตัวมากมาย แต่จะส่งผลไปยังเหตุการณ์ต่อไปหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการคิดคะแนนส.ส. จนถึงการจัดตั้งรัฐบาล นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปเรื่องอื่นๆ ต่อไป” นายอรรถจักร์กล่าว

“จ่านิว”ตั้งโต๊ะล่าล้านชื่อถอดกกต.

เวลา 13.00 น. ที่สกายวอล์ก บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำแนวร่วมประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่เป็นธรรม และนายธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน 7 กกต. พร้อมอ่านแถลงการณ์เชิญชวนให้ประชาชนร่วมลงชื่อเป็นผู้ร้องต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ถอดถอน กกต. ว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง พร้อมเปิดโต๊ะรับลงชื่อถอดถอนเพื่อประชาสัมพันธ์กับประชาชนที่ใช้บริการบีทีเอส ซึ่งขณะนี้มีแนวร่วมนักศึกษาจาก 18 มหาวิทยาลัย

นายสิรวิชญ์กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชา ชนลงชื่อในแบบรณรงค์เว็บไซต์ Change.org ในแคมเปญ “ร่วมกันลงชื่อถอดถอน กกต.” ซึ่งขณะนี้มีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 8 แสนคน โดยตั้งเป้าให้ได้ถึง 1 ล้านคนภายในวันที่ 1 เม.ย. และกำหนดระยะเวลาล่ารายชื่อถอดถอน กกต.จนถึงวันที่ 5 เม.ย.นี้ ส่วนประชาชนต่างจังหวัดที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มพร้อมเเนบสำเนาบัตรประชาชน ยื่นถอดถอนได้ทางไปรษณีย์ และส่งกลับมาภายในวันที่ 4 เม.ย.

ศรีสุวรรณอ้างเหตุ 9 ประเด็น

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เหตุผลที่สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยต้องดำเนินการตั้งโต๊ะเพื่อขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อดำเนินการถอดถอน 7 กกต. ให้ออกจากตำแหน่งตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 234 (1) บัญญัติ ในข้อหา “จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” นั้น มีประเด็นข้อกล่าวหา กกต. 9 ประเด็น อาทิ วินิจฉัยบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรจากนิวซีแลนด์ไม่ถูกต้องตาม มาตรา 114 พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.2561 ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย “ทุกสิทธิทุกเสียงมีคุณค่า”

มีการเลื่อนและประวิงเวลาการนับและประกาศผลคะแนนไม่เป็นไปตามมาตรา 117 พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.2561 แถมมีคะแนนเพิ่มขึ้นมาอีก 4.4 ล้านใบโดยไม่สมเหตุสมผล, กล่าวอ้างว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิไม่ตรงกับยอดบัตรที่ใช้นั้นอาจเกิดจาก “บัตรเขย่ง” ซึ่งไม่มีปรากฏในกฎหมายใดๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ ประชาชนหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนทั้งที่อยู่ในและต่างประเทศสามารถร่วมเข้าชื่อถอดถอน 7 กกต.ได้ โดยสมาคมจะเริ่ม ตั้งโต๊ะให้ประชาชนมาร่วมเข้าชื่อกันในวันอาทิตย์ที่ 31 มี.ค. เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป ณ ร้านชาศรีสุวรรณ บริเวณประตู 3 ตลาด ยิ่งเจริญ สะพานใหม่ กทม.

โชว์แฟลชม็อบ-ปลุกไล่เผด็จการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และนักกิจ กรรมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการชุมนุมในวันที่ 31 มี.ค. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ว่า มีความเข้าใจผิด 5 ประการ ต่อการชุมนุม 1.ไม่ใช่การชุมนุมขนาดใหญ่แบบมีเวทีปราศรัย แต่เป็นเรื่องต่างคนต่างไปปล่อยของ ชูป้ายแสดงจุดยืนของตนเอง

2.ไม่ใช่ไปชนหรือไล่รัฐบาลเผด็จการ แต่ไปปกป้องรักษาคะแนนเสียง ให้ กกต.รับผิดชอบต่อความบกพร่อง ให้คนบางคนบางกลุ่มหยุดแทรกแซงการเมือง 3.ไม่ใช่การชุมนุม ยืดเยื้อ แต่เป็นแฟลชม็อบ คือไปเร็ว มาเร็ว 1 ชั่วโมงจบกิจกรรม แยกย้ายกันมาด่ามันต่อทางโซเชี่ยล

4.ไม่ใช่การลงถนนหรือปิดถนน เราจัดกิจกรรมบนสกายวอร์ก อนุสาวรีย์ชัยฯ 5.ไม่ใช่ การทำผิดกฎหมายอันนำไปสู่ความวุ่นวาย หรือเป็นข้ออ้างให้ใคร แต่เป็นการจัดกิจกรรมที่เป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายระหว่างประเทศอันเป็นสากล ที่สำคัญเราแจ้งการชุมนุมตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้จะมีตัวแทนนักศึกษาจาก ม.เกษตรศาสตร์ และอื่นๆ มาร่วมตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ที่กำลังก่อกระแสขึ้นในหมู่นิสิตนักศึกษาช่วงนี้ด้วย

ขณะที่เวลา 16.00-20.00 น.วันที่ 31 มี.ค. นายอนุรักษ์ เจตวนิชย์ หรือฟอร์ด เส้นทาง สีแดง ไล่เผด็จการ จัดกิจกรรมจุดประทัดไล่เผด็จการ ลงชื่อถอด กกต. ที่แมคโดนัลด์ ราชประสงค์

คสช.ฮึ่ม-ชี้ยังไม่ถึงเวลา

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึงการชุมนุมหลายจุดเพื่อรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอน กกต.และแสดงพลังปกป้องคะแนนเสียง ในวันที่ 31 มี.ค.ว่า หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาเชื่อว่าประชาชนอยากเดินหน้าประเทศร่วมกันภายใต้บรรยากาศที่สงบเรียบร้อย ในภาพรวมยังไม่เห็นความจำเป็นใดที่จะต้องมีการชุมนุมหรือแสดงออกในลักษณะดังกล่าว เพราะอาจทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็น การสร้างความวุ่นวายให้กระทบต่อบรรยากาศที่ประชาชนส่วนใหญ่ปรารถนาหรือไม่ สังคมส่วนใหญ่เชื่อว่าการดำเนินกิจกรรม เช่น การชุมนุม คงไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยต่างๆ ต่อ กกต.ได้ เพราะมีวิธีการอื่นที่ตรงจุดตอบโจทย์ได้มากกว่า แต่เมื่อมีกลุ่มคนบางกลุ่มเชิญชวนให้มาชุมนุมในวันที่ 31 มี.ค. เจ้าหน้าที่คงดูแลภาพรวมให้เกิดความสงบเรียบร้อย ตามอำนาจหน้าที่เหมือนที่เคยปฏิบัติมาอยู่แล้ว

“การจัดการเลือกตั้งโดย กกต.ได้ดำเนินการมาตามขั้นตอนอย่างมีเอกภาพ เปิดเผย ตั้งแต่ขั้นการรับสมัครจนถึงการลงคะแนน ส่วนขั้นการประมวลผลจนถึงการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ คงเป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามกรอบการทำหน้าที่ขององค์กร” พ.อ.วินธัยกล่าว

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า จากข้อเท็จจริงมั่นใจว่าไม่มีส่วนใดหรือมีอำนาจใดๆ ที่สามารถไปชี้นำการดำเนินการของ กกต.ได้ และเชื่อว่าในช่วงนี้ กกต.แบกรับความคาดหวังของสังคม จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายให้เวลากับ กกต.ด้วย หากมีความสงสัยใดๆ สามารถสงสัยได้อย่างมีเหตุมีผล หรือหากพบสิ่งผิดปกติไม่มั่นใจอะไรทุกคนสามารถดำเนินการได้ตามช่องทางของกฎหมายที่มี ซึ่งน่าจะตรงจุดและสามารถตอบโจทย์ได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งเป็นการช่วยกันรักษาบรรยากาศ และสถานการณ์ที่เรียบร้อยให้กับบ้านเมืองได้ดีกว่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน