พุทธธรรมอำนาจนิยม?

ใบตองแห้ง

ม.44 ปิดล้อมธรรมกาย มีคนตายแล้ว 2 ศพ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด กลุ่มผู้เกลียดชังก็ชี้ว่าเพราะธัมมชโยอำมหิต ไม่ยอมมอบตัว DSI จะได้ถอนกำลัง เลิกจำกัดข้าวจำกัดน้ำ รถพยาบาลวิ่งสะดวก ไม่ต้องมาเถียงกันว่าพยาบาลอาสาตายเพราะอะไร

มอบตัวแล้วจบ ใช่จริงๆ หรือ ใช้กำลังหลายพันนาย ใช้ ม.44 มา 15 วัน ต้องการแค่ผู้ต้องหาคนเดียว? งบประมาณว่าไม่ถึง 60 ล้าน แต่เบี้ยเลี้ยงตำรวจวันละ 440 บาท ถ้าไม่ใช่ก็ ใกล้เคียง

ถามหน่อย ถ้าจับไม่ได้จะทำไง จะใช้ ม.44 ล้อมวัด เรียกรายงานตัว ตรวจใบสุทธิพระ ฯลฯ อีกกี่วัน ย้าย ผอ.สำนักพุทธก็แล้ว ย้าย ผกก.คลองหลวงก็แล้ว ยังเหลือมาตรการอะไรอีก หรือจะใช้กฎอัยการศึกไปเลย อย่างที่มีสื่อยุยง

ม.44 ถ้าจบไม่ลง ก็จะถูกว่าไร้น้ำยา แต่ถ้าใช้กำลังตะลุยพระ อุบาสกอุบาสิกา ก็ได้ไม่คุ้มเสีย อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เลยทำได้แค่เอาตำรวจไปล้อมวงกินข้าวกล่อง พร้อมใช้โทรโข่ง “ธัมมชโย ยอมจำนนเสียดีๆ นี่กฎหมายนะจ๊ะ”

ปฏิบัติการครั้งนี้ ถ้ามีอะไรสำเร็จ ก็เห็นจะเป็นการปลุกความเกลียดชังเข้าใส่ธรรมกายอย่างกว้างขวาง ผ่านสื่อที่โฆษก คสช.ชื่นชมว่าเป็นกลาง ตรงไปตรงมา แม้พิธีกรทีวีรายหนึ่งเรียก ธัมมชโยว่า “ไอ้ขาเน่า”

ธรรมกายถูกวิพากษ์ผสมโรง ทั้งข้อหาทางธรรม บิดเบือนคำสอน ทำให้คนลุ่มหลง บริจาคเงินหมดเนื้อหมดตัว แผ่อิทธิพล ฯลฯ และข้อหาทางโลก ฟอกเงิน รับของโจร ไม่มอบตัว ไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร ทำไมพระและสาวกปกป้องคนผิด กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย จนบานปลาย 300 คดี

ทั้งหมดนี้ชักนำให้สังคมเห็นว่าชอบธรรม ที่จะใช้ ม.44 จัดการลัทธิบิดเบือนพระศาสนา ที่คนไทยเคารพบูชา ธรรมกายทำให้ศาสนาเสื่อม ฉะนั้นใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ จัดการเสียให้เบ็ดเสร็จในยุคนี้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัย เพราะธรรมกายกำลังรอประชาธิปไตย (และทักษิณ)

การปลุกความเกลียดชังนี้ ไม่ได้มุ่งที่ “ไอ้ขาเน่า” เท่านั้น หากยังรวมพระ ศิษย์วัด ผู้เคารพนับถือ ให้กลายเป็น “เดียรถีย์” อันธพาล ไม่เคารพกฎหมาย เล่นเล่ห์ หรือไม่ก็โง่งมงายไม่ต่างจาก “ควายแดง”

ดังนั้น เมื่อมีคนฆ่าตัวตายประท้วง ม.44 จึงถูกผู้ที่ยกตนเป็น “พุทธแท้” เย้ยหยัน สะใจ มีความสุขกันเต็มไปหมด เพราะผ่านการปลุกความเกลียดชังจนเห็นคนอีกข้างไม่ใช่เพื่อนมนุษย์

และตามเคย ใครที่คัดค้านวิธีการ ไม่เห็นด้วยกับ ม.44 ก็ถูกเหมารวมเป็นพวกธรรมกาย อย่าง บ.ก.ลายจุด หรือสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ซึ่งถูกมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งข้อหาแอบอ้างสร้างความเสียหาย ไม่ใช่เสรีภาพทางวิชาการ จะพิจารณาโทษทางวินัย (แต่ออกไปขัดขวางเลือกตั้งสนับสนุนรัฐประหารเป็นการสร้างชื่อเสียงให้มหิดล?)

หลายคนมองว่านี่ไม่ต่างอะไรกับปี”53 ซึ่งปลุกความ เกลียดชังจนนำไปสู่กระสุนจริง แต่อันที่จริง ก็ไม่เหมือน เสียทีเดียว เพราะนั่นเป็นความเกลียดชังทางการเมือง แต่นี่เป็นความเกลียดชังทางศาสนา

ใครกันที่เกลียดธรรมกาย คนเกลียดธรรมกายน่าจะไม่ใช่ชาวพุทธบ้านๆ ที่ไหว้พระขอหวย ขอให้รวย ขอผ้ายันต์ คนที่เห็นพิษภัยธรรมกายอย่างจริงจัง คือคนชั้นกลางในเมือง ที่มีสำนึกทางพุทธศาสนาตามแบบท่านพุทธทาส ท่าน ป.อ.ปยุตโต ซึ่งก็คือพุทธแบบ “สะอาด สว่าง สงบ” และ clean ด้วยกลิ่นอายนิพพาน

ซึ่งอันที่จริง ธรรมกายก็เติบโตจากความเป็นสมัยใหม่ สนองจริตคนชั้นกลาง ยึดแนวทางปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ แต่ถูกกลืนหายไปด้วยพิธีกรรมอลังการ มุ่งแสดงความยิ่งใหญ่ผ่านเงินบริจาค ขยายอิทธิพลออกสู่วัดในชนบท จนถูกรังเกียจจากคนชั้นกลาง

ไม่แปลกหรอกนะครับ น่าชื่นชมด้วยซ้ำ ที่คนไทยอ่านหนังสือพุทธทาส พุทธธรรม จน “ตาสว่าง” วิพากษ์ธรรมกาย เพียงแต่แปลกใจว่าคนกลุ่มเดียวกันหรือเปล่าที่สนับสนุนให้ใช้อำนาจกวาดล้างธรรมกาย ใช้ ม.44 ปิดล้อมวัด รวมทั้งสงสัยว่าพวกที่เย้ยหยันประณามคนฆ่าตัวตายนี่ เข้าถึงพุทธแท้ที่ “สะอาด สว่าง สงบ” มีกลิ่นอายนิพพานหรือไม่

หรือว่าเพิ่งมาเลื่อมใสท่านพุทธทาส ตอนเห็นลุงกำนันไปบวชวัดสวนโมกข์

หลังเหตุการณ์นี้ ธรรมกายเสื่อมแน่ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่คำถามตามมาคือ พุทธธรรมที่แท้อยู่ตรงไหนกัน เพราะคนเลื่อมใสพุทธธรรม ดูเหมือนเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งแต่ปี”53, 57 ซึ่งแปรธรรมาธิปไตยเป็นพลัง สนับสนุนอำนาจนิยม และอธิบายการใช้อำนาจอย่างอยุติธรรมว่าเป็น “กฎแห่งกรรม”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน