“จอม เพชรประดับ” พิธีกรข่าวดัง ลี้ภัยหลังรัฐประหาร ขับอูเบอร์เลี้ยงชีพ ควบคู่ทำสื่ออิสระในยูทูป หลังได้สถานะผู้ลี้ภัยเมื่อ 2 ปีก่อน ระบุ รายได้ไม่เกินค่าจ้างขั้นต่ำ พอยาไส้ แต่ไม่แนะนำ แต่ยืดหยุ่น ชี้ชีวิตลำบาก ถูกชุมชนไทยมองเป็นคนร้าย

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายจอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าว และ อดีตพิธีกรสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ไทยพีบีเอส และ วอยซ์ทีวี ซึ่งขณะนี้ได้สถานะ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ในสหรัฐอเมริกา โดยหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เรียกตัวเขาเพื่อเข้ารายงานตัว ด้วยคำสั่ง คสช. 82/2557 ต่อมาภายหลังถูกดำเนินคดีฐานขัดคำสั่ง คสช.

จอม เพชรประดับ จัดรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ทาง Thai PBS

นายจอม ได้เปิดใจ และเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตในสถานะ “ผู้ลี้ภัย” ผ่านสำนักข่าววีโอเอ (VOA) ภาคภาษาไทย ถึงการใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัยในนครลอสแอนเจลิส ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเผยแพร่ในโอกาสครบรอบ 5 ปี เหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเปิดเผยว่า ทุกวันนี้ ได้หันไปยึดอาชีพคนขับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชั่น “อูเบอร์” (UBER) เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ ระหว่างที่งานหลัก คือการทำสื่อออนไลน์ นำเสนอเนื้อหา และ สัมภาษณ์บุคคล วิพากษ์ วิจารณ์การเมือง ในประเทศไทย ผ่านทางช่องยูทูปของตนเอง

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

“ก็พออยู่ได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้ทำเป็นอาชีพหลัก เพราะว่ามีงานอื่นในอเมริกา ที่รายได้ดีกว่านี้ถ้าคิดต่อชั่วโมง แต่ว่าคำนวณแล้วอูเบอร์ ก็จะให้ไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของในแต่ละพื้นที่ ก็ถือว่าไม่เลวนัก ที่สำคัญคือมีเวลาที่จะอัพเดทข่าวที่เมืองไทย ทำคลิปข่าวที่เมืองไทย ก็เป็นข้อดีมากๆ แล้วก็แหล่งข่าวที่เราจะสัมภาษณ์บางทีเขาก็มีเวลาให้เราไม่ตรงกัน ถ้าเราทำงานประจำ แบบเช้าไปเย็นกลับ หรือตายตัว (Fix) เรื่องเวลา เราก็พลาดที่จะตามข่าวหรือตามสัมภาษณ์ แหล่งข่าวที่เมืองไทย หรือแม้แต่แหล่งข่าวในประเทศอื่นๆ ก็เลยต้องทำอาชีพนี้ ที่ยืดหยุ่นที่สุดสำหรับ การทำงานสื่อไปด้วย” นายจอมกล่าว

จอม เพชรประดับ จัดรายการ ทาง Voice TV

โดยนายจอม ได้เล่าย้อนไปถึงช่วงที่ออกจากประเทศไทย หลังการรัฐประหารปี 2557 ซึ่งจอมมองว่า จากการประเมินเห็นว่าปัญหาต่างๆ จะลงลึกกว่าที่คิด และดึงประเทศย้อนหลังลงกว่าการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา ดังนั้นก็เลยทำให้เลยตัดสินใจว่าชีวิตด้านการสื่อฯที่ทำมากว่า 30 ปี จะขอยุติชั่วคราว คิดว่าอาจจะมาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศสัก 3-4 เดือนเพื่อวางแผนว่าจะใช้ชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร จากนั้นก็ตัดสินใจมาอยู่ในอเมริกา และขอลี้ภัยในอเมริกา เพิ่งได้รับสถานะผู้ลี้ภัยเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

“ด้านความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีในระดับหนึ่ง พอที่จะยังชีพได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ด้วย เพื่อที่จะได้เอาแรงมาใช้ทำงานสื่อ” นายจอม กล่าว

นายจอม ยังเล่าถึงสถานะตัวเอง และแรงกดดันต่างๆ แม้จะได้สถานะผู้ลี้ภัยโดยสมบูรณ์ ในสหรัฐอเมริกา และเหมือนเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อีกว่า “เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าหนึ่งคือเรามาเริ่มต้นที่นี่ในลักษณะที่ติดลบ เพราะว่าโดนคดีมา.. คดีของผมก็คือไม่ไปรายงานตัวต่อคณะ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ทีนี้มันเหมือนกับเป็นผู้ต้องหาและผู้ก่อการร้าย ซึ่งเขาอาจจะมองเป็นผู้ก่อการร้ายก็ได้นะ แค่คดีไม่ไปรายงานตัว แต่ด้วยความที่รัฐบาล คสช. เองพยายามใส่ร้ายพวกเราว่าเป็นคนล้มเจ้า ทำร้ายประเทศชาติ เอาประเทศไทยของเราไปประจานให้กับชาวโลกได้รับรู้ เขาก็เลยมองเราเป็นลักษณะเหมือนผู้ก่อการร้ายไปด้วยในตัว”

“เพราะฉะนั้นการที่เราจะอยู่กับสังคมไทยในสหรัฐอเมริกาเอง มันก็อยู่ด้วยความลำบาก สำหรับคนไทยที่ยังเชื่อว่ายังฟังแต่รัฐบาลเผด็จการ ก็มองว่าเราเป็นคนร้ายในมุมมองของเขาเหมือนกัน ดังนั้นในเชิงของเราที่ต้องไปทำงานกับธุรกิจคนไทย ก็จะค่อนข้างยาก เขาก็ไม่รับสิ เพราะว่าเขาต้องดีลกับประเทศไทยในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องของการที่ต้องทำงานด้วย ถ้าเกิดเขารู้ว่าคนๆนี้ทำงานอยู่ในธุรกิจของเขา เขากลับเมืองไทยไม่ได้ อาจจะถูกเพ่งเล็ง ธุรกิจเขาอาจจะเสียหาย” นายจอมกล่าว

โดยนายจอม ก็ยังได้กล่าวปิดท้ายสั้นๆ อีกว่า “เขาอาจจะเข้ามาคุยกับเราได้ แต่พอจะถ่ายรูป ก็อาจจะเป็นแบบ เฮ้ย! พี่ไม่ถ่ายกับน้องนะพี่เข้าใจนะ คือเหมือนกับเราเป็นตัวประหลาด เราเหมือนเราเป็นตัวที่น่ารังเกียจในสังคมนี้”

แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่ง ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เขาให้กำลังใจเรา เพื่อที่ให้เราอยู่ได้ ด้วยหลักการ ด้วยความคิดว่านี่คือหน้าที่ของการทำให้สังคมไทยมีความคิด มีมุมมองที่จะไม่อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการเกินไป และก็เห็นงานเรามีคุณค่าในการที่จะให้เสียงคนไทยได้พูดออกไป..”

ขอบคุณ และ สามารถชมคลิปสัมภาษณ์แบบเต็มๆ : voathai.com


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน