เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิง ของประเทศสิงคโปร์มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท ว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค.นี้ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลังได้มาพบตนเพื่อรายงานให้ทราบถึงการมอบหมายเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ขณะเดียวกันได้ชี้แจงเหตุผลที่ไม่ได้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตนไม่ขอเปิดเผยว่ามีรายละเอียดอย่างไร

นายวิษณุ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการจากนี้ กรมสรรพากรจะดำเนินการประเมินภาษีที่จะจัดเก็บ ให้เสร็จภายใน 31 มี.ค.นี้ โดยขั้นตอนการประเมินคือแจ้งให้บุคคลนั้นทราบว่าต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าใด หากไม่มีเสียภาษีดังกล่าวก็จะถูกเรียกเก็บเป็นค่าปรับเพิ่มเป็นรายวัน ซึ่งการส่งคำประเมินให้เจ้าตัวจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ตนไม่ขอลงรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไร และเมื่อส่งไปแล้วก็ถือว่าอายุความที่กำหนดเป็น 31 มี.ค. 60 นั้นได้หยุดลง แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ไปอีก 10 ปี ตรงนี้ถือเป็นอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องของการเป็นหนี้ซึ่งไม่เหมือนกับอายุความคดีทางอาญา อย่างไรก็ตาม นายทักษิณมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำประเมินได้ภายใน 30 วัน

เมื่อถามว่า อธิบดีกรมสรรพากรระบุหรือไม่ว่าพร้อมดำเนินการประเมินภาษีหรือไม่ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ามีความกังวลเรื่องการถูกฟ้องกลับ นายวิษณุ กล่าวว่า อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่าพร้อมดำเนินการ อย่างไรก็ตาม อธิบดีได้อธิบายให้ตนทราบถึงการที่ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้จนใกล้หมดอายุความแล้ว แต่ตนไม่ขออธิบายให้ทราบ เพราะเป็นเรื่องที่ยากต่อการทำความเข้าใจ จึงไม่ขอชี้แจงให้ทราบ ทั้งนี้ คนที่ทำงานด้านกฎหมายมีความเข้าใจ เรื่องการถูกฟ้องกลับนั้นห้ามกันไม่ได้ ส่วนฟ้องแล้วจะแพ้หรือชนะนั้น เป็นสิ่งที่เราให้ความมั่นใจกันได้ แต่ตนไม่อยากให้ฟันธงหรือท้าทายว่าไม่มีใครสู้กรมสรรพากรได้ เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ หรือแม้แต่ตน ก็สามารถถูกฟ้องกลับได้ ใครจะฟ้องกลับก็ไม่เป็นไร

เมื่อถามว่า จะออกมาตรการใดมาเพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ข้าราชการผู้ปฏิบัติงานหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี เพราะเราไม่ได้ใช้ ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แต่ใช้กฎหมายปกติในการดำเนินการทุกอย่างตามปกติคือประมวลรัษฎากร ม.19, 20, 21, 22, 23, 61 ซึ่งเป็นกระบวนการปกติในการทวงภาษี

ต่อข้อถามถึงตัวเลขจำนวนเงินในการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว รองนายกฯ กล่าวว่า ทางกรมสรรพากร ยังไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่เบื้องต้นมีตัวเลขจากสตง.ที่ระบุว่าประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท เมื่อถามว่ามีบางฝ่ายอ้างว่านายทักษิณ ถูกยึดทรัพย์แล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท จึงไม่จำเป็นต้องถูกเรียกเก็บภาษีดังกล่าวอีก นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน เพราะ 4.6 หมื่นล้านบาทนั้นไม่ใช่ภาษีแต่ถูกยึดจากผลของคดีอาญาในเรื่องการทุจริต ส่วนภาษีจากการขายหุ้นนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ได้ระบุถึงอภินิหารทางกฎหมายในการเรียกเก็บภาษี แสดงว่ารัฐบาลมีความได้เปรียบใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลได้เปรียบ แต่คิดว่าขณะที่เห็นว่ามันเดินไปไม่ได้ก็ได้พบช่องทางที่สมควรจะเสี่ยง ในชั้นศาล เพื่อให้มีบรรทัดฐานต่อไป และคงไม่ใช้คำพูดที่ว่ามั่นใจหรือไม่มั่นใจว่าจะเก็บภาษีนี้ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำตามกระบวนการ ดังนั้น อย่าใช้คำพูดตรงนี้มามัด

“ที่บอกว่ารัฐบาลแฮปปี้นั้นก็เป็นภาษาของสื่อเอง แต่ที่แฮปปี้นั้นหมายความว่าเมื่อเจอทางตันสามารถหาทางออกได้ แต่ไม่ใช่มีความสุขว่าเอาละโว้ย ฟ้องเขามันเหลือเกิน ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วนจะเก็บได้หรือไม่ได้นั้นเราก็ยังไม่รู้ แต่แฮปปี้ที่เราสามารถหาทางออกได้ ผมอธิบายในที่ประชุมครม.ว่าถ้าเรื่องนี้มันดำและขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะไม่ทำสิ่งที่ดำ แต่เรื่องนี้มันเป็นสีเทาๆ ที่ตอบไม่ได้ กรมสรรพากรก็ตอบผมไม่ได้ว่าสิ่งที่คุณคิดถูกหรือผิด สิ่งที่คุณไม่เคยทำเพราะคุณปิดเรื่อง มันถูกหรือผิด ถ้ายืนยันว่าถูกเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วทุกคนที่นั่งฟังเห็นด้วยว่าถูกต้องก็จบ ปิดเรื่องไป ส่วนสังคมจะด่าอย่างไรก็ช่าง ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการชั้นศาล เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานไว้สำหรับเรื่องอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นอีก ทั้งนี้รัฐบาลรู้ดีว่าเรื่องดังกล่าวสังคมกำลังจับตามองจึงต้องทำทุกอย่างละเอียดรอบคอบ มีการประชุมรอบเล็ก รอบใหญ่หลายครั้ง ยืนยันว่าการเรียกเก็บภาษีครั้งนี้เป็นการเก็บเงินเข้ารัฐ”

เมื่อถามว่า จะดำเนินการอย่างไรกับข้าราชการที่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านมานาน นายวิษณุ กล่าวว่า กรมสรรพากรแจ้งว่าได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้มาตั้งแต่ธ.ค. 2559 หากพบว่ามีข้าราชการใดเกี่ยวข้องก็ต้องส่งเข้ากระบวนการสอบวินัยต่อไป

เมื่อถามว่า อธิบดีกรมสรรพากรต้องมาชี้แจงเรื่องนี้เพื่อให้สังคมคลายความสงสัยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่ามนุษย์เราจะปิดมือถือได้ทุกวันขณะที่รับราชการอยู่ ก็ต้องเข้าใจว่าในฐานะที่เขาเป็นผู้ปฏิบัติ หากพูดอะไรไปก็ต้องรับผิดชอบและต้องรักษาน้ำใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติด้วย เชื่อว่าเมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาคงต้องออกมาชี้แจง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน