อัยการ เปิดเกณฑ์ เลือกนายกฯ ชี้ รัฐธรรมนูญเอื้อ “บิ๊กตู่” ได้เปรียบ เสียง ส.ส. บวก ส.ว. พอเป็นนายก ถึงไม่มี ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย เผยขั้นตอนกฎหมายนายกฯคนนอกเกิดยาก

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้โพสต์ข้อกฎหมายข้อสังเกต ขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีข้อความว่า
ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2560 มาตรา 272 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้

โดยตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง นายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองที่แจ้งไว้ต่อ กกต. ก่อนปิดการสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 88 โดยมีเงื่อนไขว่าพรรคการเมืองนั้นจะต้องมีสมาชิกที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

โดยในขณะนี้จำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร คือ 499 คน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากการที่ กกต. ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพ ส.ส.ของนายธนาธร ได้สิ้นสุดลง ตามมาตรา 82 วรรคสี่ และเนื่องจากมาตรา 82 วรรคสาม กำหนดไม่ให้นับ ส.ส. ซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ถ้าปัดเศษให้เป็นจำนวนเต็ม จึงมีจำนวน 25 คน

ดังนั้น เฉพาะบัญชีรายชื่อผู้ถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองบางพรรคเท่านั้นที่สามารถเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาได้ ซึ่งได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพรรคการเมืองในแต่ละขั้วคงจะร่วมกันพิจารณาเสนอรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมเพียงรายชื่อเดียวในขั้วของตน เพื่อไม่ให้การลงคะแนนเสียงกระจัดกระจายในภาวะที่จำนวนเสียงของ ส.ส. ในแต่ละขั้วไม่ได้ทิ้งห่างกันมาก

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

โดยการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเริ่มต้นจากการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีจำนวน ส.ส. รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 159 วรรคสอง ซึ่งถ้าปัดเศษให้เป็นจำนวนเต็ม ก็คือจำนวน 50 คน สำหรับ ส.ว. มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการร่วมลงมติกับ ส.ส. ในการให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีสิทธิในการเสนอชื่อบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีได้

การลงมติให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องลงคะแนนโดยเปิดเผย และได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งก็คือ จำนวน 376 เสียงขึ้นไปจากทั้งหมด 749 เสียง ตามมาตรา 159 วรรคสามและมาตรา 272 วรรคหนึ่ง

หากพิจารณาจากจำนวน ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ รวมกับพรรคการเมืองขนาดเล็ก และขนาดกลาง ประกอบกับจำนวน ส.ว. ซึ่ง คสช. เป็นผู้คัดเลือก ถึงแม้จะไม่รวมจำนวน ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย จำนวน ส.ส.และ ส.ว.ที่จะลงคะแนนสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะประสบปัญหาในการรวมคะแนนเสียงให้ได้ 376 เสียงขึ้นไป และยังอาจจะมีคะแนนเพิ่มเติมจาก ส.ส. ที่ลงคะแนนให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีสวนทางกับมติพรรคก็ได้

ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยเลือกที่จะไม่มีมติพรรคที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือเลือกที่จะงดออกเสียงในการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ โดยพรรคประชาธิปัตย์อาจตัดสินใจเลือกที่จะงดออกเสียงตามที่เคยให้คำมั่นไว้ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่าจะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่กระทบกับการเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

อีกทั้งยังไม่กระทบกับการร่วมรัฐบาลของทั้ง 2 พรรคด้วย เพราะพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคน่าจะมีข้ออ้างในการชี้แจงได้ว่า การร่วมรัฐบาลกับพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งและเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากการเลือกนายกรัฐมนตรี และการมีพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคเข้าร่วมรัฐบาลด้วยย่อมทำให้รัฐบาลมีความมั่นคงมากขึ้น

นอกจากนี้ หากจำนวน ส.ส. ที่ลงคะแนนเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีไม่ถึงจำนวนครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือไม่ถึง 250 คน ก็ยังไม่ใช่สิ่งยืนยันว่า รัฐบาลที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะการจัดตั้งรัฐบาลเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในภายหลัง และยังมีปัจจัยอื่น ๆ และกระบวนการต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมในการตั้งคณะรัฐมนตรี พรรคการเมืองที่ไม่ลงคะแนนเลือกพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอาจจะมาเข้าร่วมรัฐบาลกับพล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐในภายหลัง ทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากก็ได้

อีกทั้ง การที่พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีน่าจะเป็นเงื่อนไขที่เป็นผลดีและเป็นประโยชน์กับพล.อ.ประยุทธ์ด้วยในเรื่องอำนาจต่อรอง การควบคุมและกำหนดการจัดสรรตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีด้วย

ดังนั้น การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ไม่น่าจะมีเหตุขัดข้องในการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีมติเห็นชอบให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และหากจะมีเหตุขัดข้องจริง รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ว่าจะต้องให้เสร็จสิ้นภายในกี่วัน ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 202 และรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 172 ที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก

อ่านฉบับเต็ม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน