‘ทวี’ จี้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘บิ๊กตู่’ ยก 4 ข้อ คุณสมบัตินายกฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการโหวตจากสมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัยที่สอง ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.

ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า คุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต้องร่วมกันทำความจริงให้ยุติ เพื่อสร้างบรรทัดฐานการเมืองไทย

“ต้องนำเรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อหาข้อยุติ และหากมีอุปสรรคอื่นๆ ที่เรื่องไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ยังมีช่องทางโดยการที่ส.ส.จำนวน 1 ใน 5 ของ ส.ส.ทั้งหมด หรือ 100 คน เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือทั้งคณะได้ ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ส.ว.ไม่สามารถช่วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ และถือว่าเป็นการส่งเสริมหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้น”

จากการประชุมรัฐสภาที่ประกอบด้วยส.ส.และส.ว. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผลการโหวตพล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี นั้น

สมาชิกรัฐสภาได้ทำหน้าที่อภิปรายในสภา ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนที่มีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะเนื้อหาการอภิปรายเกี่ยวกับคุณลักษณะผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ คือ

1.ประเด็นคุณสมบัติตามมาตรา 160 (5) “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกําหนด “มาตรฐานทางจริยธรรม” และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้วให้ใช้บังคับแก่ส.ส. ส.ว.และคณะรัฐมนตรีด้วย
“มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ประกาศ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561

กรณี ตาม ข้อ 27 การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตาม

หมวด 1
มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ตั้งแต่ ข้อ 5 ถึง ข้อ 10 อาทิ

“ข้อ 5 ต้องยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฯลฯ

สมาชิกรัฐสภา อภิปรายว่าคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกับมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 5 มาก ในพฤติกรรมที่ พลเอกประยุทธ์ หน.คสช. ที่ทำรัฐประหารยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 50 และล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และพฤติกรรมที่ใช้อำนาจตาม ม.44 จนถึงปัจจุบัน

สมาชิกเห็นว่า ไม่ยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นการฝ่าผืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามข้อ 5 แล้ว และยังมีข้ออื่นๆ ที่สมาชิกอภิปรายอีก

2.ประเด็น มาตรา 160 (4) “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
การอภิปรายได้นำกรณีที่เหตุการณ์สำคัญที่ส่อไปทางทุจริตและไปเชื่อมโยงกับมาตรฐานจริยธรรมลักษณะร้ายแรง หมวดที่ 1

3.ประเด็น มาตรา 160 (6) “ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (15) “ คือ เป็นพนักงานหรือลูกจ้างหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐฯ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

4.ประเด็น มาตรา 114 “โดยขัดกันแห่งผลประโยชน์” รวมถึงใช้ มาตรฐานจริยธรรม ข้อ 11 “ไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”

ประกอบกับข้อมูลและข้อเท็จจริง สมาชิกรัฐสภาที่อภิปรายและลงมติ ใช้เวลาถึงประมาณ 14 ชั่วโมง ไม่ควรจบแค่ผลโหวตว่าใครมีคะแนนเสียงมากกว่าเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ที่สำคัญจะต้องหาข้อยุติว่า ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 หรือไม่

ใครจะเป็นผู้ให้คำตอบที่เป็นที่ยุติ
เรื่องนี้จึงเห็นควรที่ ส.ส. ต้องร่วมกันผลักดันนำเรื่องคุณสมบัติที่มีประเด็นว่าต้องห้าม ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ได้วินิจฉัยให้เกิดความกระจ่างชัดต่อไป เพื่อยกระดับหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

แต่ถ้ายังเห็นว่า องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยได้ถูกเลือกมาโดย หัวหน้า คสช. ที่ถูกโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รับเรื่องหรือไม่ดำเนินการ หรือปัญหาอื่นๆ ในการวินิจฉัย ควรหาข้อมูลและหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อพิจารณาระยะเวลาเห็นว่าเหมาะสม ส.ส.จำนวน 1 ใน 5 ของ ส.ส.ทั้งหมด หรือ 100 คน เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ (ตาม รธน.ม.151)

ที่ประชุมเฉพาะ สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 500 คน และมติเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่อยู่ในสภาผู้แทนราษฏร

ดังนั้น ส.ส.จึงต้องรักษากฎหมายและความยุติธรรม จะต้องผลักดันให้การตรวจสอบคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริง เพราะ “ประชาชนชาวไทยทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน”


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน