กับดักจริยธรรม

คอลัมน์ ใบตองแห้ง

โถน่าเห็นใจลุงตู่จัง กลับจาก UN แทนที่ผู้คนจะสนใจ คำปราศรัย G77 กลับถูกซักไซ้พฤติกรรมน้องสะใภ้ งานประมูลก่อสร้างของหลานชาย ที่ไม่เคยเจอหน้าหลายปี

ท่านยืนยันไม่ปกป้องน้อง ใครจะร้อง ป.ป.ช.ก็ว่าไป สื่อยังถามจี้อยู่ได้ ปัดโธ่ ถ้าไม่เชื่อมั่นกระบวนการ ก็ไปอยู่ประเทศอื่น บริษัทบ้าบอคอแตกจะสอบครัวสอบส้วมก็สอบไป จะมาโยงท่านทำไม พูดมาพูดไปก็หลุด “ไอ้…” (กรมไก่อูดูดเสียง) จะย้อนสอบศรีสุวรรณ เรืองไกร วันๆ ทำมาหากินอะไร ทำอาชีพสุจริตหรือเปล่า

อ้าวๆๆ ไม่ปกป้องน้องแล้วโมโหทำไม ก็พอจะเข้าใจ ท่านมองเป็นเรื่องของน้อง ไม่ใช่เรื่องของท่าน เป็นคนละคนกัน จะให้ท่านรับผิดชอบอะไร สมมติท่านทำผิด ต้องไปถามน้องไหม

แต่ท่านกับน้องคนละสถานะกันไม่ใช่หรือครับ ท่านเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า คสช. ที่สั่งคนทั้งประเทศได้ ซ้ำยังเป็นแบบอย่าง ให้เด็กท่องค่านิยม 12 ประการ ก็น่าจะทำอะไรบ้าง ที่เป็นการแสดงความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะพี่ ในฐานะ ผู้บังคับบัญชา ที่ตั้ง พล.อ.ปรีชาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เป็นปลัด ในช่วงที่ท่านเป็นรัฐบาล และข้อสำคัญ สังคมก็รู้ดี ถ้าข้าราชการ ทหาร พ่อค้า เกรงอกเกรงใจบุตรภรรยา ก็ไม่เพียงเพราะสามีเป็นปลัดกลาโหม แต่ยังเพราะนามสกุล “จันทร์โอชา”

ว่าที่จริง นี่เป็นเรื่องกระอักกระอ่วนน่าเห็นใจ ทั้งท่านผู้นำและสังคมไทย ว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร

เพราะทุกคนรู้แก่ใจว่า แค่ให้ ป.ป.ช.สอบเท่านั้นไม่พอ ถึงแม้ท่านผู้นำไม่ปกป้อง ป.ป.ช.สอบตรงไปตรงมา ก็อาจมีมติ 9-0 ไม่ผิด

อ้าว ผิดตรงไหน บริษัทลูกชายเข้าประมูลหลังพ่อพ้นแม่ทัพภาคที่ 3 ไปแล้ว ที่ว่าชนะประมูล 25 ล้านโดยเฉือนกันแค่ 1,900 บาทก็เป็นแค่ข้อสงสัย ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าพ่อใช้ตำแหน่งหน้าที่ช่วยเหลือ ที่ว่าใช้บ้านพักทหารตั้งบริษัท ปรมาจารย์ วิษณุ เครืองาม ก็รับประกันแล้วว่าไม่ผิดกฎหมาย

ถ้าผมเป็น ป.ป.ช.ก็คงลงมติ 9-0 ไม่ผิด เพราะมีแต่ข้อครหา ไม่มีข้อพิสูจน์ คุณจะเอาคนเข้าคุก หรือปลดออก ไล่ออก เพียงเพราะสงสัยได้ไง

แต่พฤติกรรมทั้งหมด รวมถึงการใช้ C130 เหมาลำไปเปิดฝาย “แม่ผ่องพรรณพัฒนา” สมทบทุน 7,800 บาท 11 วันพัง มันอยู่ที่คำว่า “เหมาะสมไหม” ซึ่งทุกคน โดยเฉพาะท่านผู้นำก็รู้แก่ใจ

ในฐานะที่ได้รับการยกย่องชื่นชมว่าวางตัวเหมาะสม พล.อ.ประยุทธ์ อ.นราพร ย่อมรู้แก่ใจว่าเหตุใดสังคมจึงวิพากษ์วิจารณ์น้องสะใภ้

ในฐานะผู้สั่งสอนประชาชนให้รู้จักหิริโอตตัปปะ ท่าน นายกฯ ย่อมรู้ดีว่าการที่บริษัทหลานชายได้งานร้อยล้าน ในหน่วยงานเดิมของพ่อ ในช่วงลุงเรืองอำนาจ เป็นพฤติกรรม “โลกวัชชะ” หรือไม่

ฉะนั้น ในฐานะที่ท่านเป็นแบบอย่าง สังคมจึงอยากเห็นท่านทำอะไรซักอย่าง ที่แสดงออกว่านี่เป็นการกระทำที่ “ขัดจริยธรรม” ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ในฐานะผู้นำซึ่งพูดพร่ำสอนจริยธรรม จะบอกแค่ไม่ปกป้อง ให้ ป.ป.ช.สอบน้อง มันไม่พอ

เพราะถ้า ป.ป.ช.ไม่สามารถพิสูจน์ทุจริต ก็จบแค่นั้น? ก็แล้วกันไป? ท่านยังจะชูการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพเป็นแบบอย่างความโปร่งใส ท่านยังจะเล่นงานนักการเมืองผลประโยชน์ทับซ้อน เอามันให้ตาย ท่านยังจะสอนเยาวชน ให้อดทน รับราชการ ไม่วิ่งเต้นเส้นสาย ฯลฯ ในขณะที่ ลูกนายพลได้ติดยศร้อยตรี ซึ่งไม่ใช่เฉพาะลูก พล.อ.ปรีชา ใครๆ ก็ทำกัน ยุคนี้ยุคหน้า ก็จะยังทำกัน

แล้วรัฐบาลก็จะออกกฎหมาย 3-4 ชั่วโคตร ห้ามประโยชน์ทับซ้อน เป็นที่แซ่ซ้องเล่าขาน ชี้ให้ดูตระกูลชินวัตรเป็นเยี่ยงอย่าง ทักษิณถูกจำคุก ยึดทรัพย์ “อีปูโง่” ก็จะโดน 3.5 หมื่นล้านฐาน “ไม่โกงแต่ละเว้น” แต่ “ละเว้นจริยธรรม” ไม่เป็นไร เพราะไม่โง่?

อ๊ะอ๊ะ พูดอย่างนี้ไม่ได้ปลุกม็อบไล่ บอกแล้วไง น่าเห็นใจ ท่านผู้นำไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นแบบอย่างให้เปรียบเทียบด้วยซ้ำ แต่ท่านเจอเรื่องลำบากใจ จะตอบคำถามทางจริยธรรมอย่างไร

เช่นกัน คนดีมีศีลธรรมทั้งหลาย นักเปิดไฟไล่โกง ก็อยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วน จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ แต่พูดมากไปก็กลัวฝ่ายตรงข้ามฉกฉวย ต้องปูผ้าสรรเสริญความซื่อตรงก่อนเรียกร้องความโปร่งใส ครั้นพอ “อีปู” ขอความเป็นธรรมเหมือนน้องชาย ก็ชี้หน้าด่าทอ “ละเว้น” ไม่ได้

ประเทศไทยไม่ใช่แค่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ภูมิปัญญาปานกลาง แต่ยังมีกับดักจริยธรรมเลือกข้าง ที่มองไม่เห็นทางข้ามได้ง่ายๆ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน