ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว สำหรับเหตุการณ์ลอบทำร้ายนักกิจกรรมทางการเมืองชื่อดัง ที่มีฉายาว่า “จ่านิว” หรือ “สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์” อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 11.00 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน บริเวณริมปากซอยพระยาสุเรนทร์ กลางวันแสกๆ โดยคนร้าย 4 คน สวมหมวกปิดหน้าปิดตามิดชิด ปรี่เข้าไป รุมฟาดและตี ด้วยอาวุธของแข็ง อย่างไม่ยั้งมือ ท่ามกลางรถยนต์ผ่านไปมา บนถนนรามอินทรา ที่จราจรแสนติดขัด ในช่วงแดดเปรี้ยงใกล้เที่ยงวัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพลเมืองดีมาช่วยเหลือ ส่งโรงพยาบาล ถึงมือแพทย์ที่ทำการรักษาเบื้องต้นอย่างหวุดหวิด

ในด้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็พากันเร่งมือหา “คนร้ายทั้ง 4” ที่รุมทำร้ายนักกิจกรรมชื่อดังคนนี้ ว่าเป็นใคร เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป แต่ก็มีเสียงจากผู้ติดตามข่าวสารเป็นระยะๆ ว่าจนป่านนี้แล้ว หลักฐานจากกล้องวงจรปิดก็มีพอสมควร ทำไมจึงหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดียังไม่ได้

มีการเปิดเผยจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ขณะนี้คดีของจ่านิว มีความคืบหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำไปแล้ว 10 ปาก พร้อมทั้งไล่กล้องวงจรปิด ยอมรับว่าใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง คนร้ายมีความชำนาญใช้ช่วงการจราจรติดขัดในการหลบหนี ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่คดีการจับคนแชร์ข่าว บก.ปอท. มีพยานหลักฐานชัดเจน จึงสามารถดำเนิคคดีได้รวดเร็วกว่า

ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางตำรวจได้เเถลงการดำเนินคดี กับผู้ที่ส่งต่อข้อความทางโซเชียลมิเดีย กรณีที่มีการอ้างว่า รอง ผบ.ตร.ท่านนึ่ง อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเสียหาย ถึง 8 ราย

ทางด้าน “จ่านิว” นั้น ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 10 วัน 3 โรงพยาบาล เริ่มตั้งแต่โรงพยาบาลนวมินทร์ ซึ่งใกล้จุดเกิดเหตุ และได้ส่งตัวด่วนมายังโรงพยาบาลมิชชั่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่จ่านิวรับบริการประกันสังคม และ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องตามากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ล่าสุดสิรวิชญ์ อาการดีขึ้น แต่เบ้าตาขวายังไม่สามารถใช้งานได้เต็มร้อย โดยแพทย์อนุญาตให้จ่านิวกลับพักฟื้นอาการ กลับมาใช้ชีวิตปกติที่บ้าน โดยได้อาศัยอยู่กับแม่ และน้องๆ ที่บ้านหลังเดิม ที่อยู่มากว่า 10 ปี

โดยในวันนี้ ( 13 ก.ค.) ผู้สื่อข่าว ข่าวสดออนไลน์ ได้เดินทางไปถึงบ้านของจ่านิว เพื่อพูดคุยถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้น และได้รับผลกระทบ จนถึงวันนี้ จ่านิว ได้เริ่มเล่าถึงช่วงเกิดเหตุว่า ตอนนั้น 11.00 น. กำลังเดินทางไปที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต จะไปทำเอกสารเรื่องวุฒิการศึกษา ที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งออกจากบ้านเดินทางมาขึ้นรถปกติ มันมีทางเดียวคือปากซอยบ้าน ตรงจุดเกิดเหตุ

จ่านิวเล่าว่า กลุ่มคนร้ายดักอยู่บริเวณจุดเหตุดังกล่าว โดยผู้ก่อเหตุแต่งตัวมิดชิดมีเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าโดนหมวกกันน็อก ลักษณะคล้ายคนขี่ จยย.ทั่วไป ช่วงก่อเหตุคนร้ายได้มีการตะโกนส่งเสียง ให้กับกลุ่มพวกที่มาทำร้ายด้วยกัน โดยผู้ก่อเหตุเข้ามาบริเวณด้านหน้า ใช้ไม้ตีเข้ามาที่ตน แต่ตอนสามารถหลบดอกแรกได้ ต่อมาได้มีคนวิ่งเข้ามาที่ด้านหลังซึ่งตนไม่ได้ตั้งหลัก ตีเข้าเต็มแรง เพราะตอนไม่เห็น จนทำให้ตนหลบไม่ทัน ตอนนั้นทางผู้ก่อเหตุก็เริ่มลงมือกระหน่ำตี

วินาทีนั้นตนพยายามที่จะวิ่งไปที่บริเวณกลางถนนเท่านั้น เพื่อที่จะให้คนร้ายนั้น ลงมือได้ยากขึ้น และลดความเสียหายความบาดเจ็บได้น้อยลง ตาผู้ก่อเหตุก็ตามไปตีที่บริเวณถนน ในแว๊บนั้นก็ได้ยินเสียงแม่ค้าตะโกนขึ้นมาว่า “ตำรวจมา” ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิง ถ้าจำไม่ผิด เสียงดังกล่าวทำให้คนร้ายตกใจและวิ่งหนีไป

“ผมเชื่อว่าทางผู้ก่อเหตุนั้นเตรียมการมาดี ได้นำรถมาเป็นขวางทางจราจรหนึ่งช่องทาง ประกอบกับถนนจุดนี้แคบลง เนื่องจากว่ามีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ช่วงที่คนร้ายลงมือบรรยากาศรอบข้างประชาชนต่างพากันตกใจ เพราะคนร้ายกระจายตัวออกไปแล้ว คนแถวนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดูกัน บางส่วนก็เริ่มหาวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และประชาชนบางส่วนก็รีบติดต่อกู้ภัยเข้าช่วยเหลือ” จ่านิว เล่าวินาทีเกิดเหตุ ที่พอจะจับใจความและลำดับเรื่องราวได้

อะไรคือแรงจูงใจ ให้ทำรุนแรงถึงขนาดนั้น?

จ่านิว : แรงจูงใจ มันเกิดจากการที่ผมเป็นคนคิดต่าง มันเป็นสาเหตุอื่นไม่ได้เลยนะ ตอนนี้ไม่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจอะไร เป็นแค่เพียงนักวิจัย เราแค่เป็นคนที่เก็บหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งไม่ได้ไปกระทบอะไรกับใครอยู่แล้ว ก็มีอยู่เรื่องเดียว คือสิ่งที่แสดงออกเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งมันอาจจะดันไปไม่ถูกใจใครเข้า หรือนี่อาจจะเป็นอีกสัญญาณหนึ่ง ที่จะสร้างความกลัวในอีกมิติใหม่ มาจากรัฐบาลที่ไม่สามารถจะใช้ คำสั่งอำนาจวิเศษต่างๆเช่น มาตรา 44 หรือคำสั่งที่ 3/58 อย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว เลยต้องส่งสัญญาณสร้างความกลัวที่ดูรุนแรงและดิบเถือนมากขึ้น อย่างงั้นหรือ อันนี้ผมคาดการณ์เอานะ

“แล้วสิ่งที่เราต้องเผชิญต่อไปก็คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจนบัดนี้สองครั้งที่ผมถูกทำร้ายที่ผ่านมา รวมถึงเคสลักษณะนี้ที่เกิดกับคนอื่นๆ ยังคงเป็นปริศนาถึงตัวผู้ร้ายที่ก่อเหตุ ว่าเป็นใคร?”

ข้อกล่าวหา “หนี้นอกระบบ/ชู้สาว” ยืนยัน ไม่เคยย้ายบ้านหนีใคร!

จ่านิว กล่าวต่อว่า ในช่วงที่อยู่โรงพยาบาลนั้น ตอนนั้นไม่ทราบว่าข้อมูลการสอบของตำรวจ ว่าไปถึงไหนแล้ว รู้เพียงแต่ว่าตำรวจมาขอร้องให้การในบางส่วน หลังจากผ่านไปแล้วประมาณ 4-5 วัน เพื่อที่จะหักลบประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ซึ่งเป็นประเด็นของเรื่องหนี้นอกระบบบ้าง เรื่องชู้สาวบ้าง ซึ่งมันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว และในเรื่องของบ้านที่สื่อบางค่าย พยายามจะจับแพะชนแกะ จะเอาข้อมูลมาต่อกันมั่วไปหมด ซึ่งไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน เลยกลายเป็นว่าผมเป็นคนที่มีหนี้นอกระบบ ซึ่งบ้านผมไม่ได้เป็นหนี้นอกระบบเลย รวมถึงการย้ายบ้านหนีหนี้ก็ไม่มี บ้านหลังเก่าตนอยู่มานาน เกือบ 10 ปีแล้ว

จ่านิว ยังเล่าถึงเรื่องคดีความที่ดำเนินการเพื่อนำคนร้าย มาดำเนินคดีอีกด้วยว่า ตอนนี้ก็ตามต่อไปว่าคดีไปถึงไหนแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมว่าต้องให้เวลาตำรวจเขา ซึ่งเราก็เข้าใจตำรวจดี แต่เวลาตอนดูข่าวพวกโจรปล้นร้านทอง มีการปิดบังใบหน้าลักษณะเดียวกัน ก็เห็นว่าตามจับตัวได้ในไม่นาน แต่ทำไมเรื่องนี้ กลายเป็นว่าดูยากมาก ในการหาตัวคนร้าย ซึ่งต้องดูว่ากระบวนการของตำรวจนั้น จะเร่งรัดได้ขนาดไหน

หรือว่าปลายทางของเคสนี้ อาจจะทำให้เป็นการขู่ทางอ้อมของคนในสังคม ถ้าไม่อยากให้คนตีความหรือปรามาส ว่า ผ่านไปสิบกว่าวันจับคนร้ายไม่ได้ ผมว่าไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือตำรวจควรจะพิสูจน์ศักยภาพตรงนี้ให้ได้

อัพเดตอาการล่าสุด หลังรักษาอาการบาดเจ็บสาหัส

ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

เมื่อถามถึงอาการล่าสุดของเขา หลังทำการรักาาที่โรงพยาบาลนานเกือบสองสัปดาห์ จ่านิวก็เล่าให้เราฟังว่า “ก็มีในเรื่องของปัญหา ที่ตาอย่างเดียว ส่วนศรีษะนั้น แผลที่เย็บก็แห้งแล้ว และก็ได้เข้าเครื่อง สแกน mri แล้วพบว่าไม่การกระทบกระเทือน เหมือนอตนแรกที่กังวลกันไป ห่วงเรื่องเดียวเลยตอนนี้ คือตาและการมองเห็น เบื้องต้นกระดูกที่ตาร้าว แต่หมอไม่แนะนำให้ผ่าตัดที่ตา ต้องรอการตรวจอีกครั้งในวันที่ 15 ก.ค. นี้ ถึงจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับตาต่อ

อย่าใช้ “ความรุนแรง” มาชนกัน

แนวทางของผมนั้น ผมไม่คิดว่าจะต้องใช้ความรุนแรง ที่ผ่านมาเราพยายามยืนยันแบบสันติวิธี และเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนโดยตลอด ซึ่งการเติมเชื้อไฟด้วยการขู่แบบนี้ บางทีก็ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรเลย เราทุกคนไม่ได้อดทนที่จะเป็นเหยื่อตลอดไป

การที่คนเราออกมาแสดงสิทธิทางการเมือง คือการใช้สิทธิเสรีภาพ สิ่งที่เราทำก็ไม่ได้เกินเลยไปกว่าขีดจำกัด จะให้พูดหรือทำอะไรถูกใจทุกคน ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ถูกใจบ้าง มันก็ต้องอดทนฟังกัน หากคิดว่าขัดข้องเกินเลย กระบวนการทางกฎหมายก็มี ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง

“ใครที่คิดจะทำแบบนี้อยู่ผมขอให้หยุด อยากให้เป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้มีอีก มันสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั้งสังคม เมื่อสังคมอยู่ในความหวัดกลัวก็ไม่มีใครได้รับความสงบสุข แม้กระทั่งคนทำเอง ผมคิดว่าตอนนี้เค้าก็อยู่ไม่สงบสุข ผมเองก็เช่นกันเพราะทุกวันนี้ก็อยู่อย่างหวาดระแวง ถ้ายังใช้ความรุนแรงมาเรื่อยๆ สักวันหนึ่งสังคมเรา จะต้องใช้ความรุนแรงมาชนกันแน่ๆ และหลักการของผมคือไม่ใช่ความรุนแรง เราไม่อยากให้คนเข้าไปสู่จุดนั้นอีกแล้ว” จ่านิวกล่าว

“ถ้าไม่มีเสียงจากแม่ค้าคนนั้น ในระหว่างที่ผมถูกทำร้าย ผมอาจจะไม่ได้มาคุยกับคุณอยู่ตรงนี้ก็ได้” ‘จ่านิว’ นักกิจกรรมประชาธิปไตย กล่าวปิดท้ายบทสนทนา


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน